Tag Archives: อัครสาวก

กจ.9:1-19 {ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล}

 

9:1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต
9:2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
9:10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
9:11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และในนิมิตเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”
9:13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
9:14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”
9:17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านวางมือบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา
9:19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน

 

(ข้อ 1-2) เซาโลยังคงยืนหยัดและขันแข็งในการต่อต้านผู้ที่ติดตามพระเยซู… เขาคิดว่าสิ่งนี้คือ การรับใช้พระเจ้าพระบิดา และเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ตามที่เขาได้เล่าเรียนมา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา … ด้วยเหตุที่คิดว่าพระเยซูลบหลู่พระบิดา คนที่ติดตามพระเยซูก็ด้วยเช่นกัน ความคิดเช่นนี้เกิดจากการขาดประสบการณ์ตรงกับพระเยซู เขาได้แต่ฟังจากคำบอกเล่า (จากบรรดาปุโรหิตและผู้ที่เคร่งครัดในบัญญัติ) ทำให้จิตใจภายในที่รักและภักดีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเดิมทุน แต่กลับไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า … เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเลือกเซาโล เลือกที่จะพบกับเซาโล เพราะใจที่รักพระเจ้าของเขา …

 

(ข้อ 3-9) ประสบการณ์ตรงในการทรงเรียกและพบพระเยซูของเซาโล… ไม่เพียงแค่เซาโลเท่านั้น แต่คนที่ติดตามเซาโลมาด้วยก็เป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำต่อเซาโล
♦ เซาโลรู้ว่าตนเองกำลังรับใช้และปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ เป็นความรู้และเชื่อตามแบบอย่างบรรพบุรุษ แต่เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าเลยสักครั้ง… การที่เซาโลกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” (ข้อ 5) เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอยากรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวของเขาเอง เป็นการเรียกหาพระองค์ เป็นการร้องขอการสำแดงพระองค์เองต่อตัวเขาอย่างเจาะจง
♦ การตาบอดของเซาโล ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย ไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นหมายสำคัญและตราประทับให้เซาโลมีประสบการณ์ที่ตราตรึง ไม่ใช่แค่ชั่วครู่แล้วหลงลืม แต่เป็นระยะเวลาถึง 3 วัน เพื่อเซาโลจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประสบการณ์ที่ตนเองมีกับพระเจ้านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง… แต่เป็นความจริงที่เขาเผชิญหน้ากับพระเยซูโดยตรงและเป็นประสบการณ์ที่เป็นดั่งตราประทับที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อการประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ในอนาคต

 

(ข้อ 10-19) อานาเนียเป็นบุคคลหนึ่งที่รักพระเจ้า และพระองค์ใช้ให้ไปวางมือเซาโลเพื่อให้เซาโลมองเห็น …
ท่าทีแรกสุดของอานาเนีย เมื่อภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาถึง คือ… หวั่นกลัว ไม่ต้องการจะทำตาม เพราะเหตุที่เซาโลทำร้ายผู้รับใช้และติดตามพระเยซูคริสต์อย่างหนัก ข่าวสารเรื่องเซาโลหนักแน่นมั่นคงในการทำร้ายคนของพระเจ้านั้นกระจายออกไปจนใครๆ ก็หวั่นกลัว  ไม่เว้นแม้แต่อานาเนีย… แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงสิ่งที่เขาต้องทำและสิ่งที่พระเจ้าจะทำแก่เขา เป็นเหตุให้อานาเนียวางความหวาดกลัวนั้นลง เขาไม่ได้มัวแต่นั่งต่อรองพระเจ้า ไม่ได้มัวแต่หยิบยกเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย หรือไปใช้คนอื่นแทน… แต่เขากลับก้าวตามพระเจ้าอย่างไม่มีข้อแม้ …  แม้ว่าเขายังมีความหวั่นกลัวอยู่ก็ตาม แต่เขาเกรงกลัวต่อพระเจ้าผู้ใช้เขามากกว่า เขาเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อข่าวสาร มากกว่าเชื่อสันชาตญาณหรือเนื้อหนังของตนเอง… และพระเจ้าก็รับรองอานาเนีย จนกลายเป็นคนที่วางมือเซาโลและเป็นผู้ที่วางรากฐาน เป็นแบบอย่างให้กับเซาโลอย่างแท้จริง

 

ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล

1.    ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่รักและสัตย์ซื่อในการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ อย่างที่สุด แม้จะผิดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าและแผนการณ์พระเจ้าไปบ้าง บางครั้งอาจถึงขั้นเป็นผู้ต่อต้านการงานของพระเจ้าเสียเองด้วยซ้ำ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) … แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะนำกลับมายังทางที่ถูกเป็นแน่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ชันสูตรจิตใจภายในลึกกว่ามนุษย์ ที่มองเพียงแค่การกระทำเท่านั้น

 

2.    บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา อาจมองดูเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีและพึงประสงค์สักเท่าไรนัก แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เพื่อเป็นประสบการณ์ตรง ย่อมเป็นสิ่งดีเพื่อเราจะไม่หลงลืมง่ายๆ และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้อย่างง่ายๆ … ธรรมชาติมนุษย์มักหลงลืมสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทำอย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องดีที่พระเจ้าให้เราแต่ละคนมีประสบการณ์ตรงบางอย่างที่เจาะจง และฝังลึกลงไปในความทรงจำ ในจิตวิญญาณ เพื่อวันข้างหน้าจะสามารถประกาศพระนามพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ได้อย่างแท้จริง

 

3.    การเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด สำคัญกว่าเหตุผลอันเป็นจริง … เราจำเป็นต้องวางทุกสิ่งลงที่เป็นเหตุให้ไม่กล้าทำตาม หรือเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า (***แน่นอนว่าหลายๆ ครั้ง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเรื่องยากเสียด้วยซ้ำ… แต่มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจและการมอบถวาย***) เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งและเรียกให้ทำสิ่งใดๆ นั่นคือ… สิ่งที่เราจำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งและทุกสิ่งจะบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้าเมื่อเราแต่ละคนเชื่อฟัง

 

repentance

 

051014

 

 

กจ.8.1-25 {การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ}

 

8:1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้นเซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครสาวกได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับ สะมาเรีย
8:2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง
8:3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก
8:4 ฉะนั้นฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น
8:5 ส่วนฟีลิปจึงลงไปยังเมืองสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง
8:6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้น
8:7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ
8:8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
8:9 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำเวทมนตร์ในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ
8:10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “ชายคนนี้เป็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า”
8:11 คนทั้งหลายนับถือเขา เพราะเขาได้ทำเวทมนตร์ให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว
8:12 แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อ และรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง
8:13 ฝ่ายซีโมนเองจึงเชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นการอัศจรรย์กับหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งฟีลิปได้กระทำ
8:14 เมื่อพวกอัครสาวกซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า ชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขา
8:15 ครั้นเปโตรกับยอห์นลงไปถึงก็อธิษฐานเผื่อเขา เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:16 (ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด เป็นแต่เขาได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น)
8:17 เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนเขา แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:18 และเมื่อซีโมนเห็นว่า คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือของอัครสาวก จึงนำเงินมาให้อัครสาวก
8:19 พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะวางมือบนผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”
8:20 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่ซีโมนว่า “ให้เงินของเจ้าพินาศไปด้วยกันกับเจ้าเถิด เพราะเจ้าคิดว่าจะซื้อของประทานแห่งพระเจ้าด้วยเงินได้
8:21 เจ้าไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งในการนี้เลย เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า
8:22 เหตุฉะนั้น จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้านี้ และอธิษฐานขอพระเจ้าบางทีพระองค์จะทรงโปรดยกความผิดซึ่งเจ้าคิดในใจของเจ้า
8:23 ด้วยเราเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่นและติดพันธนะแห่งความชั่วช้า”
8:24 ฝ่ายซีโมนจึงตอบว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อเหตุการณ์ที่ท่านได้กล่าวแล้วนั้นจะไม่ได้อุบัติแก่ตัวข้าพเจ้าสัก อย่างเดียว”
8:25 ครั้นพวกอัครสาวกเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ประกาศข่าวประเสริฐตามทางในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง

 

(ข้อ 1-8) แม้มีการข่มเหงเกิดขึ้นอย่างมากมายจนกระทั่งทำให้ผู้เชื่อกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการงานของพระเจ้าได้ แต่กลับยิ่งทำให้การประกาศข่าวประเสริฐถูกแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ตามที่ผู้เชื่อถูกกระจายไป

 

(ข้อ 14-17) เมื่ออัครทูตได้ยิน ได้รับแจ้ง ได้ทราบข่าวคราว ว่าเกิดการฟื้นฟูที่สะมาเรีย ก็รีบให้การสนับสนุนทันที โดยส่งเปโตรและยอห์นมาช่วยฟีลิปวางรากฐาน และพาผู้เชื่อใหม่ให้ได้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเร็วที่สุด … การทำงานของพระเจ้าในยุคนั้นเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผู้อาวุโสในความเชื่อมากกว่าจะทำการสนับสนุนผู้อ่อนกว่า ดังเช่น อัครสาวกสนับสนุนการรับใช้ของฟีลิป แม้ฟิลิปเพิ่งเชื่อไม่นาน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสนับสนุนกันจึงเป็นสิ่งที่คริสตจักรในสมัยอัครทูตกระทำเป็นปกติ โดยไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทุกคนต่างร่วมกันรับใช้ และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเต็มขนาด ในพระนามพระเยซูคริสต์

 

(ข้อ 9-13 , 18-24) ซีโมนคนเล่นคาถาอาคม ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู เนื่องจากได้เห็นการอัศจรรย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขายอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า รับบัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า … แต่ด้วยวิถีชีวิตเดิมๆ ความเข้าใจเดิมๆ และการทำมาหากินแบบเดิมๆ ทำให้เขาคาดหวังผลประโยชน์กำไรจากหมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำ ว่าจะสามารถหารายได้สร้างเงินเข้ากระเป๋าตนเองได้ เขาขาดความรู้ความเข้าใจในการเดินติดตามพระคริสต์ ว่าต้องมีวิถีชีวิตใหม่ด้วย … แต่เปโตรได้สั่งสอนเขาในทางที่ถูกต้อง ชี้ให้เห็นในสิ่งที่เขาคิดผิด มีเจตนาที่มิชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจ กลับใจใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างถูกต้องชอบธรรม

 

(ข้อ 25) การขยายและการฟื้นฟูมากมาย

 

การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ

 

1.    ไม่ว่าผู้เชื่อจะอยู่ที่ใด เป็นใครก็ตาม ที่ยังคงขมักเขม้น สัตย์ซื่อในการแสวงหาและเดินติดตามพระเจ้า อีกทั้งยังเคลื่อนในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย่อมมีหมายสำคัญเกิดขึ้น และติดตัวเขาไป … การเดินกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสถานที่ บุคคล ตำแหน่ง หรือแม้แต่การถูกข่มเหง แต่พระเจ้าทำงานได้อย่างเต็มขนาดในผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม …  หมายสำคัญของพระเจ้าที่ฟีลิปทำ ไม่ได้น้อยไปกว่าที่อัครสาวกทำเลย ขนาดคนเล่นคาถาอาคมยังกลับใจใหม่ หันมาเดินติดตามพระคริสต์ได้ ย่อมหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในตัวฟีลิปอย่างแท้จริง แม้ในขณะนั้นเขาไม่มีอัครสาวกคอยสอนหรือชี้นำก็ตาม … ดังนั้นไม่ว่าผู้เชื่อจะเป็นใคร อยู่ที่ไหนก็ตาม  สามารถให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานนำการฟื้นฟูได้เช่นเดียวกัน ทำหมายสำคัญผ่านได้เช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่ทำการนั้นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เอง

 

2.    การข่มเหงไม่สามารถหยุดยั้งแผนการณ์ของพระเจ้าได้เป็นแน่ แต่ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและการประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว้างไกลออกไปยิ่งๆ ขึ้น

 

3.    ทุกคนรับใช้พระเจ้าในส่วนที่ตนเองถนัดและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูที่มาอย่างรวดเร็วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อประกาศพระนามพระเยซู นอกจากจะได้ทำหมายสำคัญ ทำให้ได้เห็นอัศจรรย์ในสิ่งที่พระเจ้ากับตาแล้ว ยังเป็นการพัฒนาชีวิตในฝ่ายวิญญาณไปพร้อมๆ กัน

 

4.    เมื่อมีผู้เชื่อใหม่ เป็นปกติที่คนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตใหม่ที่ชอบธรรม การสั่งสอนตามพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้ผู้เชื่อเหล่านั้นเติบโตขึ้นได้อย่างดี

 

5.    เราไม่สามารถใช้ของประทานที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เพื่อแสวงหารายได้ หาผลประโยชน์เข้าตนเองได้เลยทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องจากจะทำให้ตกอยู่ภายใต้การขมขื่น (ทั้งของตนเองที่คาดหวังการเงิน และผู้อื่นที่สะดุด) และการผูกมัดของความอธรรม … อย่ายอมให้เงินมาทำให้ต้องทำผิดกับพระเจ้าและข้องเกี่ยวกับความอธรรม ความชั่วร้ายเลย ไม่ว่าทางใดก็ตาม เพื่อปกป้องตนเองไม่ให้พลาดพลั้งไปในการอธรรมนั้น (ข้อ 20-23)

 

imagesfff

 

280914

 

 

กจ.4:32-37 {ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง}

 

4:32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง
4:33 อัครสาวกจึงเป็นพยานด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่งถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน
4:34 และในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย และได้นำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมา
4:35 วางไว้ที่เท้าของอัครสาวก อัครสาวกจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามที่ต้องการ
4:36 ฝ่ายโยเสส ที่อัครสาวกเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส
4:37 มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก

 

ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง

♥ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างมีส่วนในการแบ่งปัน ช่วยเหลือกันและกัน จึงทำให้ไม่มีใครสักคนขาด
เนื่องจากหมายสำคัญการอัศจรรย์ทำให้ปลดปล่อยผู้คนจากโรคที่พวกเขาเป็น  บางคนเคยเป็นขอทานเพราะร่างกายผิดปกติ ตาบอด เป็นง่อย แต่เมื่อได้รับการรักษา พวกเขาไม่สามารถประกอบอาชีพแบบนั้นได้อีก จึงขาดรายได้ยังชีพ การช่วยเหลือกันเพื่อจะเห็นคนได้เดินกับพระเจ้า ต่างคนต่างอยากเทออก เพราะอย่างเห็นพระหัตถ์พระเจ้าทำต่อไปเรื่อยๆ

♥ สัมยก่อนพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้า ใครก็ออกไปเก็บกินได้  แต่ในสมัยอัครทูตเงินตราเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพแล้ว ดังนั้นทุกคนต่างสมัครใจช่วยเหลือกัน จนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จนเป็นเหมือนค่านิยมหนึ่งเกิดขึ้น คือ… ใครมีอะไรก็เทออก ก็มอบให้ผู้อื่น การอวยพระพรของพระเจ้าจึงมาถึงแบบไม่มีใครขาดเลย ยิ่งให้ยิ่งได้รับ

กจ 20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย และให้ระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า `การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'”

73
240814