Tag Archives: เปโตร

กจ.11:1-30{การเป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกัน}

 

11:1 ฝ่ายพวกอัครสาวกกับพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ในแคว้นยูเดียได้ยินว่า คนต่างชาติได้รับพระวจนะของพระเจ้าเหมือนกัน
11:2 เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่าน
11:3 ว่า “ท่านไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับเขา”
11:4 แต่เปโตรได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า
11:5 “เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟาและกำลังอธิษฐานก็เข้าสู่ภวังค์แล้วนิมิตเห็นภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมาทั้งสี่มุมจากฟ้าสวรรค์ และมายังข้าพเจ้า
11:6 ครั้นข้าพเจ้าเขม้นดูผ้านั้นข้าพเจ้าได้พินิจพิจารณาก็ได้เห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดิน กับสัตว์ป่าสัตว์เลื้อยคลาน และนกที่อยู่ในท้องฟ้า
11:7 แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่ากินเถิด’
11:8 แต่ข้าพเจ้าทูลว่า ‘หามิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งของซึ่งต้องห้ามหรือซึ่งเป็นมลทินยังไม่ได้เข้าปากข้าพระองค์เลย’
11:9 แต่มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าครั้งที่สองว่า ‘ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นของต้องห้าม’
11:10 เป็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นทั้งสิ้นก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าอีก
11:11 ดูเถิด ในทันใดนั้นมีชายสามคนมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ รับใช้มาจากเมืองซีซารียามาหาข้าพเจ้า
11:12 พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับเขาโดยไม่ลังเลใจเลยและพวกพี่น้องทั้งหกคนนี้ได้ไปกับข้าพเจ้าด้วยเราทั้งหลายจึงเข้าไปในบ้านของผู้นั้น
11:13 ผู้นั้นจึงกล่าวแก่พวกเราว่าตัวท่านได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่ในบ้านของท่าน และบอกท่านว่า ‘จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
11:14 เปโตรนั้นจะกล่าวให้ท่านฟังเป็นถ้อยคำซึ่งจะให้ท่านกับทั้งครอบครัวของท่านรอด’
11:15 เมื่อข้าพเจ้าตั้งต้นกล่าวข้อความนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมาสถิตกับเขาทั้งหลาย เหมือนได้เสด็จลงมาบนพวกเราในตอนต้นนั้น
11:16 แล้วข้าพเจ้าได้ระลึกถึงคำตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’
11:17 เหตุฉะนั้นถ้าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานของประทานแก่เขาเหมือนแก่เราทั้งหลายผู้ที่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะขัดขืนพระเจ้าได้”
11:18 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ แล้วได้สรรเสริญพระเจ้าว่า “พระเจ้าได้ทรงโปรดแก่คนต่างชาติให้กลับใจใหม่จนได้ชีวิตรอดด้วย”
11:19 ฝ่ายคนทั้งหลายที่กระจัดกระจายไปเพราะการเคี่ยวเข็ญเนื่องจากสเทเฟนก็พากันไปยังเมืองฟีนิเซีย เกาะไซปรัส และเมืองอันทิโอกและไม่ได้กล่าวพระวจนะแก่ผู้ใดนอกจากแก่ยิวพวกเดียว
11:20 และมีบางคนในพวกเขาเป็นชาวเกาะไซปรัสกับชาวไซรีน เมื่อมายังเมืองอันทิโอกก็ได้กล่าวประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูเจ้าแก่พวกกรีกด้วย
11:21 และพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับเขา คนเป็นอันมากได้เชื่อและกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:22 ข่าวนี้ก็เล่าลือไปยังคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจึงใช้บารนาบัสให้ไปยังเมืองอันทิโอก
11:23 เมื่อบารนาบัสมาถึงแล้ว และได้เห็นพระคุณของพระเจ้าก็ปีติยินดีจึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งมั่นคงติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:24 บารนาบัสเป็นคนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ จำนวนคนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:25 บารนาบัสได้ไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล
11:26 เมื่อพบแล้วจึงพาเขามายังเมืองอันทิโอกต่อมาท่านทั้งสองได้ประชุมกันกับคริสตจักรตลอดปีหนึ่งได้สั่งสอนคนเป็นอันมากและในเมืองอันทิโอกนั่นเองพวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก
11:27 คราวนี้มีพวกศาสดาพยากรณ์ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองอันทิโอก
11:28 ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัสได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณว่าจะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้นได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยคลาวดิอัส ซีซาร์
11:29 พวกสาวกทุกคนจึงตกลงใจกันว่า จะถวายตามกำลังฝากไปช่วยบรรเทาทุกข์พวกพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดีย
11:30 เขาจึงได้ทำดังนั้น และฝากไปกับบารนาบัสและเซาโลเพื่อนำไปให้พวกผู้ปกครอง

 

กจ.11:1-30{การเป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกัน}

 

(ข้อ 1-4) เปโตรเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดงและใช้เขา เพื่อคนต่างชาติ  … เนื่องจากในยุคนั้นการประกาศกับคนต่างชาติเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้งการแยกออกของชนชาติของพระเจ้า (ยิว) เป็นเรื่องที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างเด่นชัด จึงเป็นปกติที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่การเปิดใจออกของผู้เชื่อ ทำให้พวกเขาได้เข้าใจและเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ทั้งนี้เมื่อเขาเข้าใจแล้วจึงต่างสรรเสริญพระนามพระเจ้า (18)

 

(ข้อ 16-18) การเป็นพยานมี 2 แบบ คือ
1.    เป็นพยานต่อผู้ไม่เชื่อ >> เพื่อประกาศพระนามของพระเจ้าไปยังผู้ที่ไม่เชื่อ เป็นการนำความรอดไปถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า

2.    เป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกันเอง >> เพื่อหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เชื่อด้วยกันเอง ในการก้าวไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ …  เนื่องจากความเติบโตของแต่ละคนไม่เท่ากัน ประสบการณ์ของแต่ละคน แต่ละเวลาต่างกัน การเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทำ ส่งผลให้เกิดการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสามารถเสริมสร้างให้ความเชื่อของผู้อื่นได้เติบโตเข้มแข็งไปด้วย

*** ซึ่งการเป็นพยานประเภทนี้ เป็นการตรวจสอบกันและกันได้ด้วย ดังเช่นเปโตรเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่เขา ทำให้ผู้เชื่อเกิดความเข้าใจ (เคียร์ความไม่เข้าใจ , เปิดโลกและมุมมองใหม่ๆ ในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ… ทุกคนต่างปรารถนาจะเดินในมรรคาของพระเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่มีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์บางด้านที่ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง) … นอกจากพวกเขาจะเติบโตในด้านความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนแล้ว การที่เปโตรอธิบายและเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะเปโตรถ่อมลงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ด้วยกันเอง ยินดีแบ่งปันสิ่งที่พระเจ้าทำออกไปด้วยน้ำใสใจจริง
*** คริสเตียนจำเป็นต้องเป็นพยานทั้ง 2 แบบ

 

(ข้อ 19-30)  เป็นภาพที่แสดงถึง การบริหารจัดการของคริสตจักรในสมัยแรก มีการประสานงานช่วยเหลือกัน โดยไม่แบ่งแยกกลุ่ม หรือ เชื้อสาย แต่เน้นให้เกิดการเสริมสร้างกันและกันในคริสตจักร โดยการจัดสรรผู้ที่มีความเติบโตและเข้มแข็งกว่าในความเชื่อเวียนกันไปดูแล เสริมสร้าง ให้กับคริสตจักรและผู้เชื่อใหม่ๆ ตามของประทาน ทำให้การเติบโตของผู้เชื่อเป็นไปได้อย่างสอดคล้องกับการหลั่งไหลเข้ามาของผู้เชื่อใหม่

 

ananias-sapphira-3

161114

 

 

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}

 

10:1 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลีย
10:2 เป็นคนมีศรัทธามาก คือท่านและทั้งครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ
10:3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
10:4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
10:5 บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
10:6 เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล เปโตรจะบอกท่านว่าท่านควรจะทำอะไร”
10:7 ครั้นทูตสวรรค์ที่ได้พูดกับโครเนลิอัสไปแล้ว ท่านได้เรียกคนใช้สองคนกับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีศรัทธามาก ที่เคยปรนนิบัติท่านเสมอ
10:8 และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
10:9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน
10:10 และเขาหิวมาก และอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่พวกเขายังจัดเตรียมอยู่ เปโตรได้เข้าสู่ภวังค์
10:11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
10:12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและนกที่อยู่ในท้องฟ้า
10:13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”
10:14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
10:16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
10:17 เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหาและพบบ้านของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว
10:18 และร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรอยู่ที่นั่นหรือไม่
10:19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า “ดูเถิด ชายสามคนตามหาเจ้า
10:20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
10:21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร”
10:22 เขาจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในบรรดาชาวยิว โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากพระเจ้าโดยผ่านทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน”
10:23 เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ไปกับเขาและพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย
10:24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
10:25 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน
10:26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
10:27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
10:28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราช บัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน
10:29 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
10:30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
10:31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นที่ระลึกถึงในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว
10:32 เหตุฉะนั้น จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล ผู้นั้นเมื่อมาถึงแล้วจะกล่าวแก่ท่าน’
10:33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าจึงอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งท่านไว้”
10:34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
10:35 แต่คนใด ๆ ในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์
10:36 พระดำรัสที่พระเจ้าได้ทรงฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง)
10:37 ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระดำรัสนั้นท่านทั้งหลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่แคว้นกาลิลี ไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น
10:38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกพญามารเบียดเบียน ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระองค์
10:39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในแผ่นดินของชนชาติยิวและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้
10:40 ในวันที่สามพระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์และทรงให้ปรากฏ
10:41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
10:42 พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย
10:43 ศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ผู้ใดที่เชื่อถือในพระองค์นั้นจะได้รับการทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”

 

(ข้อ 1-8) โครเนลิอัสเป็นคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้าของชาวอิสราเอล ใช้ชีวิตแบบยำเกรงพระเจ้าและสัตย์ซื่อในส่วนของเขาเป็นการส่วนตัวอย่างเคร่งครัด ทำให้พระเจ้าทรงหันมาหาเขา มีการสำแดงชนิดที่ผู้เชื่อหลายๆ คน และส่วนมากยังไม่มีโอกาสได้รับเสียด้วยซ้ำ คือ การเห็นทูตสวรรค์ต่อหน้าต่อตา การที่ทูตสรรค์บอกรายละเอียดอย่างเจาะจงถึงสิ่งที่เขาต้องทำ คือ เชิญเปโตรมา และเป็นการบอกถึงพิกัดที่อยู่ของเปโตรอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถทำตามได้ …

เปรียบเทียบภาพเดียวกับนางรูธที่รักพระเจ้าของแม่สามีและปรารถนาการอวยพรจากพระเจ้า จึงขอติดตามแม่สามี จนกระทั่งพระพรนั้นตกอยู่กับเธอ

 

นรธ.1:16-17
1:16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
1:17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”

 

นรธ.4:12-17
4:12 ขอให้วงศ์วานของท่านเหมือนวงศ์วานของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้แก่ยูดาห์ เนื่องด้วยเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์จะประทานแก่ท่านโดยผู้หญิงคนนี้”
4:13 ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานางและพระเยโฮวาห์ประทานให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
4:14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
4:15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากบุตรสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
4:16 แล้วนาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้แนบอก และรับเป็นผู้เลี้ยงดูแลเด็กคนนั้น
4:17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด

 

(ข้อ 9-29 ) ในส่วนของเปโตรพระเจ้าทรงสำแดงกับเขาเป็นการส่วนตัวในรูปแบบนิมิต เพื่อเป็นการเตรียมใจและเปิดใจเขาก่อน อันเนื่องจากเปโตรเป็นชาวอิสราเอล ซึ่งมีธรรมเนียมห้ามข้องเกี่ยวกับชาวต่างชาติ (ข้อ 28) …  อีกทั้งสิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเปโตรและชนชาติอิสราเอล ไม่เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน … ในความไม่เข้าใจทั้งหมดถึงนิมิตนั้น แต่เปโตรเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และทุกสิ่งถูกเปิดความเข้าใจ เมื่อเขาได้พบกับโครเนลิอัส เป็นการบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้า

 

(ข้อ 30-33) การที่โครเนลิอัสเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่ตนให้เปโตรฟัง เป็นการรับรอง confirm ซึ่งกันและกัน
–    สิ่งที่เปโตรได้รับนิมิตจากพระเจ้า เวลานี้เองที่ทำให้เปโตรเข้าใจทั้งสิ้นถึงนิมิตที่พระเจ้าสำแดงเรื่องอาหารในห่อผ้า (ข้อ 11-16)
–    สิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับโครเนลิอัส เพื่อเชิญเปโตรมาที่บ้านของตน

 

(ข้อ 34-43) เป็นคำตอบของการสำแดงของพระเจ้าทั้งต่อโครเนลิอัส และเปโตร …คือ…
–    การให้เปโตรประกาศข่าวประเสริฐกับคนต่างชาติ >> ทำลายกำแพงระหว่างชนชาติ
–    การให้คนต่างชาติรับเชื่อ >> จุดเริ่มต้นยุคใหม่ คือ ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}  

1.    บางครั้ง บางสิ่ง โดยเฉพาะความยำเกรงพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ความสัตย์ซื่อ ผู้เชื่อบางคนยังสู้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าแต่มีใจปรารถนาหาพระองค์ไม่ได้เลย … ความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้ามีมาถึงคนที่สัตย์ซื่อและแสวงหาพระเจ้าเป็นแน่ แม้ว่าจะทำแบบคลำทาง ถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะส่งคน ส่งทูตสวรรค์ ในการนำเขาเข้ามาอยู่ในกระบวนการของพระเจ้าเอง … นั่นสะท้อนให้เห็นว่า… พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ผู้เชื่อ ไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไปถึง ใครก็ตามที่เสาะแสวงหาพระเจ้าต่างหาก

 

2.    หลายครั้ง หลายสิ่ง พระเจ้าสำแดงและเปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าจะผ่านทางใดก็ตาม (นิมิต , ความฝัน , คำตรัส , ประสบการณ์บางอย่าง , … ) แต่ตัวเราเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมด นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของผู้ที่ปรารถนาจะเดินตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ที่ปรารถนาจะให้พระองค์ทำงานผ่าน  เพราะแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หากว่ามั่นใจในเสียงที่ทรงตรัส ในสิ่งที่ทรงสำแดง และรู้แก่ใจว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าเป็นแน่ … การเดินตาม การก้าวออกไป จะค่อยๆ เปิดเผยถึงความสมบูรณ์ของความเข้าใจแก่เราเอง …

ดั่งที่เปโตรก็ไม่เข้าใจถึงนิมิตนั้น ไม่รู้ว่าจะไปหาโครเนลิอัสทำไม ไปเพื่อทำอะไร แต่เขารู้ว่าพระเจ้าให้เขาไป เขาจึงไป และทุกสิ่งถูกเปิดเผยว่าพระเจ้าใช้เขาไปหาโครเนลิอัส เพราะพระเจ้าสำแดงแก่โครเนลิอัสเป็นการส่วนตัว เพื่อให้เปโตรมาประกาศ นำรับเชื่อ คนกลุ่มนี้ อันเป็นคนต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เชื่อพระเจ้า …

จากการเชื่อฟังและทำตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เปโตรได้รับการสอนสิ่งใหม่ๆ เป็นผลให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์มาก่อน สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยผ่านมือเปโตร เพราะเขาไม่ถูกจำกัดการเชื่อฟังพระเจ้าไว้เพียงแค่ต้องเข้าใจทุกอย่างก่อน ต้องรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ก่อน แล้วจึงก้าว แท้จริงในพระคัมภีร์ทุกคนต่างก้าวไปกับพระเจ้าแบบก้าวต่อก้าวทั้งนั้น ไม่มีใครรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจก้าว เพราะนั่นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมันสมบูรณ์แล้ว (ความเชื่อเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ คือ ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่ามีอยู่จริง แล้วจึงได้รับ) … >>

>> ผู้ที่นั่งรอคอยให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนสมบูรณ์ก่อนแล้วจึงก้าว = ไม่ได้ก้าวเลยสักก้าวเดียว ไม่มีความเชื่อและเชื่อฟังเลยแม้สักน้อย (ในขณะที่พระองค์ทรงสำแดงอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่าที่ไม่ก้าว ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่ไม่ตัดสินใจต่างหาก หากสามารถพูดได้ว่าพระเจ้าเปิดเผยและสำแดงแก่ตน ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ก้าวไม่ได้…เพราะการเปิดเผยและสำแดงนั่นแหละ คือ การที่พระเจ้าบอกให้เราก้าวแล้ว) เพราะจะไม่มีวันและเวลานั้น เนื่องจากอาจจะถูกเลื่อนยกไปที่คนอื่นแทน และเมื่อมันเกิดขึ้นจริงและสำเร็จจริง คนที่ได้ก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับอย่างที่เปโตรได้รับ

 

3.    ด้วยเหตุที่โครเนลิอัสดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนเขา ทำให้ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย ไม่เพียงโครเนลิอัสเท่านั้นที่มีประสบการณ์และได้รับ แต่ครอบครัวและคนสนิทก็ได้รับด้วยเช่นเดียวกัน (ข้อ 24 , 27) แสดงให้เห็นว่า โครเนลิอัสมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างในด้านนี้จริงๆ และเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น

 

4.    การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสดใหม่ตามยุคและวาระเวลาของพระเจ้าเสมอ ดังนั้น หลายสิ่งอาจเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีปรากฏขึ้นในอดีตมาก่อน แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ สิ่งที่เราทำได้ คือ… การตอบสนองพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างวางเงื่อนไข เหตุผลต่างๆ ลง แล้วก้าวไป เพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยตา และรับพระพรด้วยมือของเราเอง ควรระมัดระวังการปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เปโตรไม่เข้าใจ แม้เปโตรจะมีคำถามกับพระเจ้า แต่เขามีความเชื่อฟังสูงกว่าข้อสงสัยของตนเอง มนุษย์ผู้จำกัด แต่พระเจ้าไม่ทรงจำกัดเลย

 

1181158011

 

261014

 

 

กจ.5:1-11 {อานาเนียกับสัปฟีรา}

 

5:1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน
5:2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก
5:3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
5:4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
5:5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
5:6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
5:7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
5:8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
5:9 เปโตรจึงถามนางว่า “ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”
5:10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
5:11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น

อานาเนียกับสัปฟีรา

1.    (2 , 8-9) แบบอย่างไม่ดีของการส่งเสริมกันในทางที่ผิดของสามีภรรยา
อานาเนียผู้เป็นสามี เป็นคนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้กับตัว เป็นคนริเริ่มในแผนนั้นก็จริง แต่การเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยา เป็นกายเดียวกัน ต้องมีการห้ามปราม ตักเตือน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทำผิดต่อพระเจ้า เพื่อไม่ให้การลงโทษมาถึงยกครัวเรือน เหตุการณ์นี้เขาตายทั้งคู่ พวกเขาร่วมกันในการโกหกและยักยอกในส่วนของพระเจ้า เทียบได้กับเหตุการณ์เมืองอัยที่อาคานยักยอกของๆ พระเจ้า ทำให้ชนทั้งชาติพ่ายแพ้ศัตรู

ยชว.7:10-26
7:10 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
7:11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
7:12 เพราะฉะนั้นคนอิสราเอลจึงยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของตนไม่ได้ ได้หันหลังหนีต่อหน้าศัตรู เพราะเขากลายเป็นสิ่งที่ถูกสาปแช่ง เราจะไม่อยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะทำลายสิ่งของที่ถูกสาปแช่งเหล่านั้นเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า
7:13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่ง นั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
7:14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
7:15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
7:16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ทรงถูกเลือก
7:17 จึงนำครอบครัวของยูดาห์เข้ามา และทรงเลือกครอบครัวเศ-ราห์ และนำครอบครัวเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีทรงถูกเลือก
7:18 และนำครัวเรือนของท่านเข้ามาทีละคน และคนที่ทรงถูกเลือกคืออาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์
7:19 และโยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล และจงสารภาพต่อพระองค์ และจงบอกข้ามาว่าเจ้าได้กระทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าเลย”
7:20 และอาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริงแล้วที่ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าได้กระทำดังนี้
7:21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
7:22 ฝ่ายโยชูวาก็ให้ผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ ดูเถิด ของนั้นซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง
7:23 เขาก็เอาออกมาจากกลางเต็นท์นำไปให้โยชูวาและคนอิสราเอลทั้งปวง แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
7:24 และโยชูวากับบรรดาคนอิสราเอลจึงพาอาคานบุตรชายเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะแกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดไปยังหุบเขาอาโคร์
7:25 และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความยากร้ายมาให้เรา พระเยโฮวาห์จะทรงนำความยากร้ายมาถึงเจ้าในวันนี้” และบรรดาคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาเขาทั้งหลายด้วยไฟ เมื่อขว้างเขาด้วยก้อนหินแล้ว
7:26 แล้วเอาหินถมกองทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์

ข้อคิด >> สามีภรรยา ต้องคอยตักเตือนกันให้เดินอย่างถูกต้องในทางของพระเจ้า ไม่ส่งเสริมกันในทางที่ผิด ด้วยการเป็นกายเดียวกันจึงต้องรับผิดชอบในกันและกัน
>> การโกหกและยักยอกนี้ เขาทำต่อพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนให้ทุกคนนำของมาถวายเป็นของกลาง การทำงานและการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จึงอยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ การยักยอกเงินส่วนนี้ คือ การยักยอกพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ไม่ใช่เพียงแต่คดโกงมนุษย์

 
2.    (3-4 , 8) เงินอยู่ในมือของมนุษย์
แท้จริงสิทธิในการถวายเป็นของเรา เพราะไม่ว่าจะเงินหรือทรัพย์สินที่พระเจ้ามอบให้เรา มันก็เป็นสิทธิการครอบครองที่พระเจ้าให้กับเรา แต่อานาเนียและสัปฟีราโกหกว่า “ขายได้เงินเท่านี้” แสดงให้เห็นว่า
–    เขาตั้งใจยักยอกส่วนต่างเอาไว้ใช้เอง จึงทำให้เขาโกหก
–    ที่เขาโกหกนั้น ไม่เพียงโกหกมนุษย์ แต่ยังโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางชุมชนด้วย เขาไม่ได้ตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ที่นั่น เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยำเกรง ไม่เกรงกลัว ไม่ให้เกียรติต่อการทรงสถิตย์อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้น
–    การบอกว่าขายได้เท่านี้ แล้วถวายให้หมดเท่าที่ขายได้ = จะเอาหน้าว่าตนเองบริสุทธิ์ ดูดี มอบให้พระเจ้าหมด แต่แท้จริงคือ ยักยอกเอาไว้แล้ว … พระเจ้าไม่เคยต่อว่าเราเรื่องจำนวนมากหรือน้อย แต่การโกหกให้ตนเองดูดีทั้งที่ความจริงตรงข้าม เป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติและไม่สนใจการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อคิด >> เรามีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะถวายเท่าไร การถวายมากน้อย ไม่มีผลต่อการลงโทษในครั้งนี้ แต่การที่เขาโกหกทุกคนโดยไม่คำนึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดการลงโทษถึงตาย
>> อย่ายอมให้เงิน หรือผลประโยชน์ ทำให้เราต้องปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่จะได้รับพระพรทั้งที่ถวายออก กลับต้องตายเพราะหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

*** ยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานและเคลื่อนไปในทิศทางใด แบบใด เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราต้องให้เกียรติพระองค์ในการทำงานด้านนั้นๆ ส่วนนั้นๆ เพราะนั่นคือ การทำงานของพระเจ้าเองโดยตรง หากหมิ่นประมาทพระองค์ด้วยการไม่ใส่ใจ หรือทำบางสิ่งที่ดูหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่พระพร จึงกลับกลายเป็นคำแช่งสาป***

 

18_07May2013020839_1

 

310814

 

 

กจ.3:1-26 {เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

3:1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าพระวิหารในเวลาอธิษฐาน เป็นเวลาบ่ายสามโมง
3:2 มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่ครรภ์มารดา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
3:3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
3:4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูพวกเราเถิด”
3:5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คาดว่าจะได้อะไรจากท่าน
3:6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองข้าพเจ้าไม่มี แต่ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ข้าพเจ้าจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นเดินไปเถิด”
3:7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
3:8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป
3:9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า
3:10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดแก่คน นั้น
3:11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอน ด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
3:12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
3:13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต เมื่อเขาตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
3:14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยฆาตกรให้ท่านทั้งหลาย
3:15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้
3:16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ได้กระทำให้คนนี้หายปกติต่อหน้าท่านทั้ง หลาย
3:17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้กระทำการนั้นเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย
3:18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของ พระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
3:19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
3:20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้แจ้งไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว
3:21 พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
3:22 ที่จริงโมเสสได้กล่าวไว้แก่บรรพบุรุษว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดาพยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
3:23 และจะเป็นเช่นนี้คือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ตั้งใจฟังศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากท่ามกลางประชาชน’
3:24 และบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันพยากรณ์ถึงกาลครั้งนี้
3:25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์นั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า ‘บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเจ้า’
3:26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ท่านทั้งหลายทุกคนกลับจากความชั่วช้าของตน”

 

เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1.    (1-10) หมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำผ่านเปโตรและยอห์น
– ขอทานต้องการแค่เงิน แต่เขากลับได้รับมากกว่านั้น คือ การหายโรค…. พระเจ้ามักให้มากกว่าในสิ่งที่มนุษย์คาดคิดเสมอ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีเสมอสำหรับเราแต่ละคน

– เป็นยุคพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น หมายสำคัญจึงเกิดขึ้นอย่างมาก = มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องมีหมายสำคัญ หมายสำคัญจะไม่ขาดหายไปจากผู้ที่ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะหมายสำคัญเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ

 

2.    (11-13) เปโตรมอบเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า
– เปโตรมอบเกียรตินี้ให้กับพระเจ้า ไม่อวดอ้างว่าเป็นความสามารถของตนเองเลย แม้คนจะยกย่องเปโตรก็ตาม เขามอบเกียรติให้กับพระเจ้าโดยไม่อ้างถึงความดีและความสามารถใดๆ ของตนเองเลย

– เปโตรพลิกลักษณะนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิงจากเดิม ที่เป็นคนขี้อวด ขี้โม้ ชอบได้หน้า.. แต่บัดนี้เมื่อเขาผ่านเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ได้เห็นการฟื้นพระชนม์ ได้รับคำสั่งเจาะจง การให้อภัยของพระเยซู และที่สำคัญคือ ได้รับการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาได้ถ่อมลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่เขาจะอวด โม้ อีกต่อไป เขามอบทั้งสิ้นแด่พระเจ้า พระเยซู โดยสิ้นเชิง

** ข้อควรระวัง … อย่าคิดว่าเราเป็นคนนั้นที่ทำการอัศจรรย์ ทำให้แย่งเกียรติของพระเจ้ามาไว้ที่เรา เช่น ควรระวังว่าเพราะชีวิตที่ดีของเรา ทำให้หมายสำคัญเกิดขึ้น

–  แท้จริงการรักษาชีวิตเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ของการที่พระเจ้าจะทำงานผ่านเราได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่เพราะชีวิตที่ดีของเรา  สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น เป็นเส้นบางๆ ที่ต้องระวังรักษาตนเองไม่ให้พลาดในการมอบถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น

 

3.    (14-25) การกล่าวคำพยานของเปโตร
–  กลุ่มคนเหล่านั้น คือ คนที่ร่วมตรึงพระเยซูทั้งนั้น แต่เปโตรก็ยังประกาศแก่เขาอยู่ดี เพื่อนำพวกเขากลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้ามีแผนการณ์ที่ดีถึงทุกคน

–  เปโตรและคณะก็ต้องยอมวางความรู้สึกของตนเองลง และเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้มุ่งมั่นที่จะเป็นพยานให้เขากลับมาหาพระเจ้า

 

4.    (22-26) การอ้างอิงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
– เป็นการอ้างอิงถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (OT) ที่สำเร็จถึงสิ่งที่พระเยซูทำ = เป็นบทสรุปและสนับสนุนว่า ทุกสิ่งในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ (NT) เป็นการสนับสนุนเรื่องราวใน OT ให้สำเร็จสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ไม่สามารถตัด OT ทิ้งจากชีวิตเราได้ เพราะสาวกก็ดำเนินชีวิตแบบศึกษาและเดินตาม OT ตลอดเวลา

 

imageswwwwww

 

10/08/2014 11:48