Tag Archives: เปาโล

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

9:20 และโดยทันทีทันใดท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
9:21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่”
9:22 แต่เซาโลยิ่งมีกำลังทวีขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสนิ่งอึ้งอยู่ โดยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
9:23 และหลังจากนั้นอีกหลายวันพวกยิวได้ปรึกษากันจะฆ่าเซาโลเสีย
9:24 แต่เรื่องการปองร้ายของเขารู้ถึงเซาโล เขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง คอยฆ่าเซาโลทั้งกลางวันและกลางคืน
9:25 แต่เหล่าสาวกได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
9:26 ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านใคร่จะคบให้สนิทกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก
9:27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
9:28 แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม
9:29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
9:30 เมื่อพี่น้องรู้อย่างนั้นจึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส
9:31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

1.    การที่เซาโลเคยต่อต้านพระคริสต์อย่างที่สุด กลับใจใหม่มาเชื่อและเดินติดตามพระเจ้า ย่อมยังคงมีภาพเก่าๆ ของพฤติกรรมเซาโลติดตาผู้อื่นอยู่ เช่น การเข่นฆ่า การข่มเหง คริสเตียน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เชื่อคนอื่น แม้เซาโลจะมีประสบการณ์ที่เด่นชัดจากพระเยซูด้วยตนเองก็ตาม ถึงกระนั้นเซาโลไม่ได้ตีอกชกตัว โกรธผู้อื่น แต่เขากลับพิสูจน์ชีวิต พิสูจน์ผลแห่งการกลับใจใหม่ของเขา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างดี ประกาศพระนามพระคริสต์อย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆ วางคำครหาและการไม่ยอมรับลง แต่เดินหน้าติดตามพระเจ้าอย่างที่สุดในส่วนของตนเอง จนกระทั่งผู้เชื่อคนอื่นเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และเชื่อวางใจในตัวเซาโลว่าเขากลับใจใหม่แล้วจริงๆ … เป็นปกติที่คนเราจะไม่ได้รับการยอมรับในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่ควรกระทำอย่างแรก … คือ … การจดจ่อในการยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ตนเองจนผู้อื่นเห็นและสัมผัสได้ในที่สุด และเหตุนี้เองพระเจ้าจะเป็นผู้อยู่ฝ่ายเรา

 

2.    (ข้อ 22) เซาโลไม่ได้มัวแต่นั่งท้อใจที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือการสนับสนุนเป็นอย่างดีในการเดินติดตามพระเจ้าของตนเอง แต่เขากลับมีกำลังใหม่ ซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ที่เขาแสวงหา… ท่ามกลางเสียงของผู้เชื่อเดิม , ท่ามกลางการรับผลเดิมๆ ที่เขาทำ , ท่ามกลางการพยายามเข้าใจวิถีชีวิตใหม่ในการเดินติดตามพระเจ้า ,… ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเซาโลเลย ที่ละทิ้งตำแหน่ง เกียรติยศชื่อเสียงที่มีในอดีต หันกลับมาหาพระเจ้าและรับใช้อย่างจริงจัง แต่เพราะเขามีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนกับพระเยซู (กจ.9:3-9)  ทำให้เขาไม่ลดละและหันหลังกลับไป แม้ปราศจากที่พึ่งพา แต่เขากลับได้รับกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

กจ.9:3-9
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย

 

3.    (ข้อ 27-30) เมื่อเซาโลได้พิสูจน์ชีวิตด้วยการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจในส่วนของตนเอง ทำให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่หวาดระแวงเซาโลจากภาพในอดีตของเขา ได้เห็นว่าเซาโลเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ เขาเป็นคนของพระเจ้าแล้วจริงๆ การช่วยเหลือและสนับสนุนมาถึงอย่างมาก… แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อในสมัยนั้นยินดีจะช่วยเหลือ ผู้ที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือกันและกันในความเชื่อ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรประกาศพระนามของพระคริสต์ โดยใครทำอะไรได้ก็ทำ ไม่มีเกี่ยงงอน (ข้อ 25)

 

4.    (ข้อ 31) พระราชกิจของพระเจ้าจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก หากผู้เชื่อร่วมแรงร่วมใจกัน ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้สวนกระแสโลก คือ กระแสการต่อต้าน … แต่ยิ่งมีการต่อต้านมากเท่าไร การฟื้นฟูอันเนื่องจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้เชื่อเป็นปัจจัยสำคัญ

 

Be-In-This-Moment

 

191014

 

 

 

กจ.9:1-19 {ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล}

 

9:1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต
9:2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
9:10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
9:11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และในนิมิตเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”
9:13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
9:14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”
9:17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านวางมือบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา
9:19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน

 

(ข้อ 1-2) เซาโลยังคงยืนหยัดและขันแข็งในการต่อต้านผู้ที่ติดตามพระเยซู… เขาคิดว่าสิ่งนี้คือ การรับใช้พระเจ้าพระบิดา และเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ตามที่เขาได้เล่าเรียนมา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา … ด้วยเหตุที่คิดว่าพระเยซูลบหลู่พระบิดา คนที่ติดตามพระเยซูก็ด้วยเช่นกัน ความคิดเช่นนี้เกิดจากการขาดประสบการณ์ตรงกับพระเยซู เขาได้แต่ฟังจากคำบอกเล่า (จากบรรดาปุโรหิตและผู้ที่เคร่งครัดในบัญญัติ) ทำให้จิตใจภายในที่รักและภักดีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเดิมทุน แต่กลับไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า … เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเลือกเซาโล เลือกที่จะพบกับเซาโล เพราะใจที่รักพระเจ้าของเขา …

 

(ข้อ 3-9) ประสบการณ์ตรงในการทรงเรียกและพบพระเยซูของเซาโล… ไม่เพียงแค่เซาโลเท่านั้น แต่คนที่ติดตามเซาโลมาด้วยก็เป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำต่อเซาโล
♦ เซาโลรู้ว่าตนเองกำลังรับใช้และปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ เป็นความรู้และเชื่อตามแบบอย่างบรรพบุรุษ แต่เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าเลยสักครั้ง… การที่เซาโลกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” (ข้อ 5) เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอยากรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวของเขาเอง เป็นการเรียกหาพระองค์ เป็นการร้องขอการสำแดงพระองค์เองต่อตัวเขาอย่างเจาะจง
♦ การตาบอดของเซาโล ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย ไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นหมายสำคัญและตราประทับให้เซาโลมีประสบการณ์ที่ตราตรึง ไม่ใช่แค่ชั่วครู่แล้วหลงลืม แต่เป็นระยะเวลาถึง 3 วัน เพื่อเซาโลจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประสบการณ์ที่ตนเองมีกับพระเจ้านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง… แต่เป็นความจริงที่เขาเผชิญหน้ากับพระเยซูโดยตรงและเป็นประสบการณ์ที่เป็นดั่งตราประทับที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อการประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ในอนาคต

 

(ข้อ 10-19) อานาเนียเป็นบุคคลหนึ่งที่รักพระเจ้า และพระองค์ใช้ให้ไปวางมือเซาโลเพื่อให้เซาโลมองเห็น …
ท่าทีแรกสุดของอานาเนีย เมื่อภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาถึง คือ… หวั่นกลัว ไม่ต้องการจะทำตาม เพราะเหตุที่เซาโลทำร้ายผู้รับใช้และติดตามพระเยซูคริสต์อย่างหนัก ข่าวสารเรื่องเซาโลหนักแน่นมั่นคงในการทำร้ายคนของพระเจ้านั้นกระจายออกไปจนใครๆ ก็หวั่นกลัว  ไม่เว้นแม้แต่อานาเนีย… แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงสิ่งที่เขาต้องทำและสิ่งที่พระเจ้าจะทำแก่เขา เป็นเหตุให้อานาเนียวางความหวาดกลัวนั้นลง เขาไม่ได้มัวแต่นั่งต่อรองพระเจ้า ไม่ได้มัวแต่หยิบยกเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย หรือไปใช้คนอื่นแทน… แต่เขากลับก้าวตามพระเจ้าอย่างไม่มีข้อแม้ …  แม้ว่าเขายังมีความหวั่นกลัวอยู่ก็ตาม แต่เขาเกรงกลัวต่อพระเจ้าผู้ใช้เขามากกว่า เขาเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อข่าวสาร มากกว่าเชื่อสันชาตญาณหรือเนื้อหนังของตนเอง… และพระเจ้าก็รับรองอานาเนีย จนกลายเป็นคนที่วางมือเซาโลและเป็นผู้ที่วางรากฐาน เป็นแบบอย่างให้กับเซาโลอย่างแท้จริง

 

ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล

1.    ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่รักและสัตย์ซื่อในการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ อย่างที่สุด แม้จะผิดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าและแผนการณ์พระเจ้าไปบ้าง บางครั้งอาจถึงขั้นเป็นผู้ต่อต้านการงานของพระเจ้าเสียเองด้วยซ้ำ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) … แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะนำกลับมายังทางที่ถูกเป็นแน่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ชันสูตรจิตใจภายในลึกกว่ามนุษย์ ที่มองเพียงแค่การกระทำเท่านั้น

 

2.    บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา อาจมองดูเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีและพึงประสงค์สักเท่าไรนัก แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เพื่อเป็นประสบการณ์ตรง ย่อมเป็นสิ่งดีเพื่อเราจะไม่หลงลืมง่ายๆ และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้อย่างง่ายๆ … ธรรมชาติมนุษย์มักหลงลืมสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทำอย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องดีที่พระเจ้าให้เราแต่ละคนมีประสบการณ์ตรงบางอย่างที่เจาะจง และฝังลึกลงไปในความทรงจำ ในจิตวิญญาณ เพื่อวันข้างหน้าจะสามารถประกาศพระนามพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ได้อย่างแท้จริง

 

3.    การเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด สำคัญกว่าเหตุผลอันเป็นจริง … เราจำเป็นต้องวางทุกสิ่งลงที่เป็นเหตุให้ไม่กล้าทำตาม หรือเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า (***แน่นอนว่าหลายๆ ครั้ง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเรื่องยากเสียด้วยซ้ำ… แต่มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจและการมอบถวาย***) เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งและเรียกให้ทำสิ่งใดๆ นั่นคือ… สิ่งที่เราจำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งและทุกสิ่งจะบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้าเมื่อเราแต่ละคนเชื่อฟัง

 

repentance

 

051014