Tag Archives: พระธรรมกิจการ

กจ.13:14-41 {แบบอย่างการประกาศข่าวประเสริฐ}

13:14 แต่พวกนั้นเดินทางต่อไปจากเมืองเปอร์กาถึงเมืองอันทิโอกในแคว้นปิสิเดีย แล้วได้เข้าไปนั่งลงในธรรมศาลาในวันสะบาโต
13:15 เมื่ออ่านพระราชบัญญัติกับคำของศาสดาพยากรณ์แล้ว บรรดานายธรรมศาลาจึงใช้คนไปบอกเปาโลกับบารนาบัสว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ถ้าท่านมีคำกล่าวเตือนสติแก่คนทั้งปวงก็เชิญกล่าวเถิด”
13:16 ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “ท่านที่เป็นชนชาติอิสราเอลและท่านทั้งหลายที่เกรงกลัวพระเจ้า จงฟังเถิด
Continue reading กจ.13:14-41 {แบบอย่างการประกาศข่าวประเสริฐ}

กจ.13:1-13 {พระวิญญาณบริสุทธิ์เจิมแต่งตั้ง}

13:1 คราวนั้นในคริสตจักรที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูเติบโตขึ้นด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล
13:2 เมื่อคนเหล่านั้นกำลังรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า และถืออดอาหารอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสสั่งว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับการซึ่งเราเรียกให้เขาทำนั้น”
13:3 เมื่อถืออดอาหารและอธิษฐาน และวางมือบนบารนาบัสกับเซาโลแล้ว เขาก็ใช้ท่านไป
13:4 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งสองที่ได้รับใช้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงลงไปเมืองเซลูเคีย และได้แล่นเรือจากที่นั่นไปยังเกาะไซปรัส
Continue reading กจ.13:1-13 {พระวิญญาณบริสุทธิ์เจิมแต่งตั้ง}

กจ.12:1-19 {พลังการอธิษฐานเพื่อผู้อื่น}

 

12:1 แล้วคราวนั้นกษัตริย์เฮโรดได้เหยียดพระหัตถ์ออกทำร้ายบางคนในคริสตจักร
12:2 ท่านได้ฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ
12:3 เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย (นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ)
12:4 และเมื่อท่านจับเปโตรแล้ว ท่านจึงให้จำคุกเขาไว้ และมอบเขาไว้กับทหารสี่หมู่ ๆ ละสี่คนให้คุมเขาไว้ ตั้งใจว่าเมื่อสิ้นเทศกาลอีสเตอร์แล้วจะพาเขาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย
12:5 เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรโดยไม่หยุด
12:6 ในคืนวันนั้นเอง ครั้นเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก
Continue reading กจ.12:1-19 {พลังการอธิษฐานเพื่อผู้อื่น}

กจ.11:1-30{การเป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกัน}

 

11:1 ฝ่ายพวกอัครสาวกกับพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ในแคว้นยูเดียได้ยินว่า คนต่างชาติได้รับพระวจนะของพระเจ้าเหมือนกัน
11:2 เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงต่อว่าท่าน
11:3 ว่า “ท่านไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับเขา”
11:4 แต่เปโตรได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า
11:5 “เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟาและกำลังอธิษฐานก็เข้าสู่ภวังค์แล้วนิมิตเห็นภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมาทั้งสี่มุมจากฟ้าสวรรค์ และมายังข้าพเจ้า
11:6 ครั้นข้าพเจ้าเขม้นดูผ้านั้นข้าพเจ้าได้พินิจพิจารณาก็ได้เห็นสัตว์สี่เท้าของแผ่นดิน กับสัตว์ป่าสัตว์เลื้อยคลาน และนกที่อยู่ในท้องฟ้า
11:7 แล้วข้าพเจ้าได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่ากินเถิด’
11:8 แต่ข้าพเจ้าทูลว่า ‘หามิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งของซึ่งต้องห้ามหรือซึ่งเป็นมลทินยังไม่ได้เข้าปากข้าพระองค์เลย’
11:9 แต่มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าครั้งที่สองว่า ‘ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นของต้องห้าม’
11:10 เป็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นทั้งสิ้นก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าอีก
11:11 ดูเถิด ในทันใดนั้นมีชายสามคนมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านที่ข้าพเจ้าอยู่ รับใช้มาจากเมืองซีซารียามาหาข้าพเจ้า
11:12 พระวิญญาณจึงสั่งให้ข้าพเจ้าไปกับเขาโดยไม่ลังเลใจเลยและพวกพี่น้องทั้งหกคนนี้ได้ไปกับข้าพเจ้าด้วยเราทั้งหลายจึงเข้าไปในบ้านของผู้นั้น
11:13 ผู้นั้นจึงกล่าวแก่พวกเราว่าตัวท่านได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่ในบ้านของท่าน และบอกท่านว่า ‘จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
11:14 เปโตรนั้นจะกล่าวให้ท่านฟังเป็นถ้อยคำซึ่งจะให้ท่านกับทั้งครอบครัวของท่านรอด’
11:15 เมื่อข้าพเจ้าตั้งต้นกล่าวข้อความนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมาสถิตกับเขาทั้งหลาย เหมือนได้เสด็จลงมาบนพวกเราในตอนต้นนั้น
11:16 แล้วข้าพเจ้าได้ระลึกถึงคำตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสไว้ว่า ‘ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำก็จริง แต่ท่านทั้งหลายจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’
11:17 เหตุฉะนั้นถ้าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานของประทานแก่เขาเหมือนแก่เราทั้งหลายผู้ที่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่จะขัดขืนพระเจ้าได้”
11:18 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ แล้วได้สรรเสริญพระเจ้าว่า “พระเจ้าได้ทรงโปรดแก่คนต่างชาติให้กลับใจใหม่จนได้ชีวิตรอดด้วย”
11:19 ฝ่ายคนทั้งหลายที่กระจัดกระจายไปเพราะการเคี่ยวเข็ญเนื่องจากสเทเฟนก็พากันไปยังเมืองฟีนิเซีย เกาะไซปรัส และเมืองอันทิโอกและไม่ได้กล่าวพระวจนะแก่ผู้ใดนอกจากแก่ยิวพวกเดียว
11:20 และมีบางคนในพวกเขาเป็นชาวเกาะไซปรัสกับชาวไซรีน เมื่อมายังเมืองอันทิโอกก็ได้กล่าวประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูเจ้าแก่พวกกรีกด้วย
11:21 และพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่กับเขา คนเป็นอันมากได้เชื่อและกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:22 ข่าวนี้ก็เล่าลือไปยังคริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจึงใช้บารนาบัสให้ไปยังเมืองอันทิโอก
11:23 เมื่อบารนาบัสมาถึงแล้ว และได้เห็นพระคุณของพระเจ้าก็ปีติยินดีจึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งมั่นคงติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:24 บารนาบัสเป็นคนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ จำนวนคนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับองค์พระผู้เป็นเจ้า
11:25 บารนาบัสได้ไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล
11:26 เมื่อพบแล้วจึงพาเขามายังเมืองอันทิโอกต่อมาท่านทั้งสองได้ประชุมกันกับคริสตจักรตลอดปีหนึ่งได้สั่งสอนคนเป็นอันมากและในเมืองอันทิโอกนั่นเองพวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก
11:27 คราวนี้มีพวกศาสดาพยากรณ์ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองอันทิโอก
11:28 ฝ่ายผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัสได้ลุกขึ้นกล่าวโดยพระวิญญาณว่าจะบังเกิดการกันดารอาหารมากยิ่งทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้นได้บังเกิดขึ้นในรัชสมัยคลาวดิอัส ซีซาร์
11:29 พวกสาวกทุกคนจึงตกลงใจกันว่า จะถวายตามกำลังฝากไปช่วยบรรเทาทุกข์พวกพี่น้องที่อยู่ในแคว้นยูเดีย
11:30 เขาจึงได้ทำดังนั้น และฝากไปกับบารนาบัสและเซาโลเพื่อนำไปให้พวกผู้ปกครอง

 

กจ.11:1-30{การเป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกัน}

 

(ข้อ 1-4) เปโตรเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสำแดงและใช้เขา เพื่อคนต่างชาติ  … เนื่องจากในยุคนั้นการประกาศกับคนต่างชาติเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น อีกทั้งการแยกออกของชนชาติของพระเจ้า (ยิว) เป็นเรื่องที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างเด่นชัด จึงเป็นปกติที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่การเปิดใจออกของผู้เชื่อ ทำให้พวกเขาได้เข้าใจและเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ ทั้งนี้เมื่อเขาเข้าใจแล้วจึงต่างสรรเสริญพระนามพระเจ้า (18)

 

(ข้อ 16-18) การเป็นพยานมี 2 แบบ คือ
1.    เป็นพยานต่อผู้ไม่เชื่อ >> เพื่อประกาศพระนามของพระเจ้าไปยังผู้ที่ไม่เชื่อ เป็นการนำความรอดไปถึงผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า

2.    เป็นพยานต่อผู้เชื่อด้วยกันเอง >> เพื่อหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งเป็นการเพิ่มความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เชื่อด้วยกันเอง ในการก้าวไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ …  เนื่องจากความเติบโตของแต่ละคนไม่เท่ากัน ประสบการณ์ของแต่ละคน แต่ละเวลาต่างกัน การเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทำ ส่งผลให้เกิดการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสามารถเสริมสร้างให้ความเชื่อของผู้อื่นได้เติบโตเข้มแข็งไปด้วย

*** ซึ่งการเป็นพยานประเภทนี้ เป็นการตรวจสอบกันและกันได้ด้วย ดังเช่นเปโตรเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่เขา ทำให้ผู้เชื่อเกิดความเข้าใจ (เคียร์ความไม่เข้าใจ , เปิดโลกและมุมมองใหม่ๆ ในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ… ทุกคนต่างปรารถนาจะเดินในมรรคาของพระเจ้าทั้งสิ้น เพียงแต่มีความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์บางด้านที่ไม่เท่ากันเท่านั้นเอง) … นอกจากพวกเขาจะเติบโตในด้านความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนแล้ว การที่เปโตรอธิบายและเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะเปโตรถ่อมลงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ด้วยกันเอง ยินดีแบ่งปันสิ่งที่พระเจ้าทำออกไปด้วยน้ำใสใจจริง
*** คริสเตียนจำเป็นต้องเป็นพยานทั้ง 2 แบบ

 

(ข้อ 19-30)  เป็นภาพที่แสดงถึง การบริหารจัดการของคริสตจักรในสมัยแรก มีการประสานงานช่วยเหลือกัน โดยไม่แบ่งแยกกลุ่ม หรือ เชื้อสาย แต่เน้นให้เกิดการเสริมสร้างกันและกันในคริสตจักร โดยการจัดสรรผู้ที่มีความเติบโตและเข้มแข็งกว่าในความเชื่อเวียนกันไปดูแล เสริมสร้าง ให้กับคริสตจักรและผู้เชื่อใหม่ๆ ตามของประทาน ทำให้การเติบโตของผู้เชื่อเป็นไปได้อย่างสอดคล้องกับการหลั่งไหลเข้ามาของผู้เชื่อใหม่

 

ananias-sapphira-3

161114

 

 

กจ.10:44-48 {คนต่างชาติได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

10:44 เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับคนทั้งปวงที่ฟังพระวจนะนั้น
10:45 ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือแล้ว คือคนที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ลงมาบนคนต่างชาติด้วย
10:46 เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่าง ๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า
10:47 “ใครอาจจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา โดยมิให้เขารับบัพติศมาด้วยน้ำได้”
10:48 เปโตรจึงสั่งให้เขารับบัพติศมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเขาทั้งหลายได้ขอให้เปโตรยับยั้งอยู่กับเขาอีกสองสามวัน

 

กจ.10:44-48 {คนต่างชาติได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์}

1.    (ข้อ 45) ในขณะที่เปโตรได้รับการสำแดง แม้คนอื่น (ผู้ติดตาม , พวกที่เข้าสุหนัตแล้ว , …) ไม่ได้รับ แต่เขาก็สามารถเห็นในสิ่งที่พระเจ้าทำได้เช่นกัน รูปแบบการเปิดเผยของพระเจ้าที่มาถึงเราแต่ละคนอาจแตกต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน และต่างสำแดงความเป็นพระเจ้าเช่นเดียวกัน… ดังนั้นความรับผิดชอบที่จะตอบสนองจึงตกแก่เราแต่ละคน ตามรูปแบบที่พระเจ้าให้กับเรา

 

2.    (ข้อ 46-47) เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับผู้ใด ผู้นั้นก็สามารถมีประสบการณ์และรับฤทธิ์เดชในพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เช่นเดียวกัน ไม่ขึ้นอยู่กับว่า ชนชาติใด เป็นใคร ตำแหน่งอะไร … เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสวมทับ ย่อมมีผลแห่งการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะเป็นการทำงานของพระเจ้าเอง ใครจะห้ามได้!!!

 

3.    (ข้อ 45-47) ระมัดระวังที่จะห้ามหรือหยุดการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยการคิดว่าตนเองเป็นคนเหนือชั้นกว่าผู้อื่น , คิดว่าตนเองเท่านั้นที่สมควรได้รับ แต่ผู้อื่นไม่สมควร ,… เพราะแท้จริงแล้วผู้ที่ทำคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้กับคนที่มีใจแสวงหา อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า

 

imagescfd

261014

 

 

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}

 

10:1 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลีย
10:2 เป็นคนมีศรัทธามาก คือท่านและทั้งครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ
10:3 เวลาประมาณบ่ายสามโมงนายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและกล่าวแก่ท่านว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย”
10:4 และเมื่อโครเนลิอัสเขม้นดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่เป็นประการใด พระองค์เจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและทานของท่านนั้น ได้ขึ้นไปเป็นที่ระลึกถึงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าแล้ว
10:5 บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา
10:6 เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล เปโตรจะบอกท่านว่าท่านควรจะทำอะไร”
10:7 ครั้นทูตสวรรค์ที่ได้พูดกับโครเนลิอัสไปแล้ว ท่านได้เรียกคนใช้สองคนกับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีศรัทธามาก ที่เคยปรนนิบัติท่านเสมอ
10:8 และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
10:9 วันรุ่งขึ้นคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงวันเปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้านเพื่อจะอธิษฐาน
10:10 และเขาหิวมาก และอยากจะรับประทานอาหาร แต่ในระหว่างที่พวกเขายังจัดเตรียมอยู่ เปโตรได้เข้าสู่ภวังค์
10:11 และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก
10:12 ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลานและนกที่อยู่ในท้องฟ้า
10:13 มีพระสุรเสียงมาว่าแก่ท่านว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเถิด”
10:14 ฝ่ายเปโตรจึงทูลว่า “มิได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งซึ่งเป็นของต้องห้ามหรือของมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยได้รับประทานเลย”
10:15 แล้วจึงมีพระสุรเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่าแก่ท่านว่า “ซึ่งพระเจ้าได้ทรงชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้าม”
10:16 เห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
10:17 เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ดูเถิด คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหาและพบบ้านของซีโมนแล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว
10:18 และร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรอยู่ที่นั่นหรือไม่
10:19 เมื่อเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณก็ตรัสกับท่านว่า “ดูเถิด ชายสามคนตามหาเจ้า
10:20 จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา”
10:21 เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มากล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไร”
10:22 เขาจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในบรรดาชาวยิว โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากพระเจ้าโดยผ่านทูตสวรรค์บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้านเพื่อจะฟังถ้อยคำของท่าน”
10:23 เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรก็ไปกับเขาและพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย
10:24 ล่วงมาอีกวันหนึ่งเขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอยรับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว
10:25 ครั้นเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน
10:26 ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกัน”
10:27 เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปแลเห็นคนเป็นอันมากมาพร้อมกัน
10:28 จึงกล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า คนชาติยิวนั้นจะคบให้สนิทกับคนต่างชาติหรือเข้าเยี่ยมก็เป็นที่พระราช บัญญัติห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ห้ามหรือมลทิน
10:29 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าจึงขอถามว่าท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร”
10:30 โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถืออดอาหารอยู่จนถึงเวลานี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ดูเถิด มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ
10:31 ผู้นั้นได้กล่าวว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานของท่านนั้นทรงสดับฟังแล้ว และทานของท่านนั้นก็เป็นที่ระลึกถึงในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว
10:32 เหตุฉะนั้น จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล ผู้นั้นเมื่อมาถึงแล้วจะกล่าวแก่ท่าน’
10:33 ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าจึงอยู่พร้อมกันต่อพระพักตร์พระเจ้า เพื่อจะฟังสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้ตรัสสั่งท่านไว้”
10:34 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่า พระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด
10:35 แต่คนใด ๆ ในทุกชาติที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์
10:36 พระดำรัสที่พระเจ้าได้ทรงฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการประกาศข่าวดีเรื่องสันติสุขโดยพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง)
10:37 ข้าพเจ้ากล่าวว่า พระดำรัสนั้นท่านทั้งหลายก็รู้ คือเรื่องที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่แคว้นกาลิลี ไปจนตลอดทั่วแคว้นยูเดีย ภายหลังการบัพติศมาที่ยอห์นได้ประกาศนั้น
10:38 คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้ทรงเจิมพระองค์ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และพระเยซูเสด็จไปกระทำคุณประโยชน์และรักษาบรรดาคนซึ่งถูกพญามารเบียดเบียน ด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงสถิตกับพระองค์
10:39 เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงกระทำในแผ่นดินของชนชาติยิวและในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้
10:40 ในวันที่สามพระเจ้าได้ทรงให้พระองค์คืนพระชนม์และทรงให้ปรากฏ
10:41 มิใช่ทรงให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ทรงปรากฏแก่เหล่าพวกพยานซึ่งพระเจ้าได้ทรงเลือกไว้แต่ก่อน คือทรงปรากฏแก่พวกเราที่ได้รับประทานและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
10:42 พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย
10:43 ศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ผู้ใดที่เชื่อถือในพระองค์นั้นจะได้รับการทรงยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”

 

(ข้อ 1-8) โครเนลิอัสเป็นคนต่างชาติที่ยำเกรงพระเจ้าของชาวอิสราเอล ใช้ชีวิตแบบยำเกรงพระเจ้าและสัตย์ซื่อในส่วนของเขาเป็นการส่วนตัวอย่างเคร่งครัด ทำให้พระเจ้าทรงหันมาหาเขา มีการสำแดงชนิดที่ผู้เชื่อหลายๆ คน และส่วนมากยังไม่มีโอกาสได้รับเสียด้วยซ้ำ คือ การเห็นทูตสวรรค์ต่อหน้าต่อตา การที่ทูตสรรค์บอกรายละเอียดอย่างเจาะจงถึงสิ่งที่เขาต้องทำ คือ เชิญเปโตรมา และเป็นการบอกถึงพิกัดที่อยู่ของเปโตรอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถทำตามได้ …

เปรียบเทียบภาพเดียวกับนางรูธที่รักพระเจ้าของแม่สามีและปรารถนาการอวยพรจากพระเจ้า จึงขอติดตามแม่สามี จนกระทั่งพระพรนั้นตกอยู่กับเธอ

 

นรธ.1:16-17
1:16 แต่รูธตอบว่า “ขอแม่อย่าวิงวอนให้ฉันจากแม่หรือเลิกติดตามแม่ไปเลย เพราะแม่จะไปไหนฉันจะไปด้วย และแม่จะอาศัยอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของฉัน และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของฉัน
1:17 แม่ตายที่ไหนฉันจะตายที่นั่น และจะขอให้ฝังฉันไว้ที่นั่นด้วย ถ้ามีอะไรมาพรากฉันจากแม่นอกจากความตาย ก็ขอพระเยโฮวาห์ทรงลงโทษฉัน และให้หนักยิ่งกว่า”

 

นรธ.4:12-17
4:12 ขอให้วงศ์วานของท่านเหมือนวงศ์วานของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้แก่ยูดาห์ เนื่องด้วยเชื้อสายซึ่งพระเยโฮวาห์จะประทานแก่ท่านโดยผู้หญิงคนนี้”
4:13 ดังนั้นโบอาสก็รับรูธมาเป็นภรรยาของท่าน และท่านก็เข้าหานางและพระเยโฮวาห์ประทานให้นางตั้งครรภ์คลอดบุตรชายคนหนึ่ง
4:14 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็พูดกับนาโอมีว่า “สาธุการแด่พระเยโฮวาห์ พระองค์มิได้ทรงละทิ้งเจ้าไว้ให้ปราศจากญาติที่ถัดมา ขอให้ทารกนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปในอิสราเอล
4:15 ให้เด็กคนนี้เป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าและเลี้ยงดูเจ้าเมื่อชรา เพราะว่าเด็กคนนี้เกิดมาจากบุตรสะใภ้ที่รักเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าบุตรชายเจ็ดคน”
4:16 แล้วนาโอมีก็รับเด็กนั้นมาอุ้มไว้แนบอก และรับเป็นผู้เลี้ยงดูแลเด็กคนนั้น
4:17 หญิงชาวบ้านข้างเคียงก็ให้ชื่อเด็กนั้น พูดกันว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” เขาตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด

 

(ข้อ 9-29 ) ในส่วนของเปโตรพระเจ้าทรงสำแดงกับเขาเป็นการส่วนตัวในรูปแบบนิมิต เพื่อเป็นการเตรียมใจและเปิดใจเขาก่อน อันเนื่องจากเปโตรเป็นชาวอิสราเอล ซึ่งมีธรรมเนียมห้ามข้องเกี่ยวกับชาวต่างชาติ (ข้อ 28) …  อีกทั้งสิ่งนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับเปโตรและชนชาติอิสราเอล ไม่เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อน … ในความไม่เข้าใจทั้งหมดถึงนิมิตนั้น แต่เปโตรเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และทุกสิ่งถูกเปิดความเข้าใจ เมื่อเขาได้พบกับโครเนลิอัส เป็นการบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้า

 

(ข้อ 30-33) การที่โครเนลิอัสเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าทำและสำแดงแก่ตนให้เปโตรฟัง เป็นการรับรอง confirm ซึ่งกันและกัน
–    สิ่งที่เปโตรได้รับนิมิตจากพระเจ้า เวลานี้เองที่ทำให้เปโตรเข้าใจทั้งสิ้นถึงนิมิตที่พระเจ้าสำแดงเรื่องอาหารในห่อผ้า (ข้อ 11-16)
–    สิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับโครเนลิอัส เพื่อเชิญเปโตรมาที่บ้านของตน

 

(ข้อ 34-43) เป็นคำตอบของการสำแดงของพระเจ้าทั้งต่อโครเนลิอัส และเปโตร …คือ…
–    การให้เปโตรประกาศข่าวประเสริฐกับคนต่างชาติ >> ทำลายกำแพงระหว่างชนชาติ
–    การให้คนต่างชาติรับเชื่อ >> จุดเริ่มต้นยุคใหม่ คือ ข่าวประเสริฐไปถึงคนต่างชาติ

กจ.10:1-43 {ข่าวประเสริฐมาถึงคนต่างชาติ}  

1.    บางครั้ง บางสิ่ง โดยเฉพาะความยำเกรงพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ความสัตย์ซื่อ ผู้เชื่อบางคนยังสู้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าแต่มีใจปรารถนาหาพระองค์ไม่ได้เลย … ความเมตตาและความโปรดปรานของพระเจ้ามีมาถึงคนที่สัตย์ซื่อและแสวงหาพระเจ้าเป็นแน่ แม้ว่าจะทำแบบคลำทาง ถูกบ้างผิดบ้าง เมื่อถึงเวลาพระเจ้าจะส่งคน ส่งทูตสวรรค์ ในการนำเขาเข้ามาอยู่ในกระบวนการของพระเจ้าเอง … นั่นสะท้อนให้เห็นว่า… พระเมตตาของพระเจ้าไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ผู้เชื่อ ไม่ได้จำกัดวงอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่มีไปถึง ใครก็ตามที่เสาะแสวงหาพระเจ้าต่างหาก

 

2.    หลายครั้ง หลายสิ่ง พระเจ้าสำแดงและเปิดเผยให้เรารู้ ไม่ว่าจะผ่านทางใดก็ตาม (นิมิต , ความฝัน , คำตรัส , ประสบการณ์บางอย่าง , … ) แต่ตัวเราเองไม่ได้เข้าใจทั้งหมด นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของผู้ที่ปรารถนาจะเดินตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ที่ปรารถนาจะให้พระองค์ทำงานผ่าน  เพราะแม้จะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่หากว่ามั่นใจในเสียงที่ทรงตรัส ในสิ่งที่ทรงสำแดง และรู้แก่ใจว่าสิ่งนี้มาจากพระเจ้าเป็นแน่ … การเดินตาม การก้าวออกไป จะค่อยๆ เปิดเผยถึงความสมบูรณ์ของความเข้าใจแก่เราเอง …

ดั่งที่เปโตรก็ไม่เข้าใจถึงนิมิตนั้น ไม่รู้ว่าจะไปหาโครเนลิอัสทำไม ไปเพื่อทำอะไร แต่เขารู้ว่าพระเจ้าให้เขาไป เขาจึงไป และทุกสิ่งถูกเปิดเผยว่าพระเจ้าใช้เขาไปหาโครเนลิอัส เพราะพระเจ้าสำแดงแก่โครเนลิอัสเป็นการส่วนตัว เพื่อให้เปโตรมาประกาศ นำรับเชื่อ คนกลุ่มนี้ อันเป็นคนต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่เชื่อพระเจ้า …

จากการเชื่อฟังและทำตามการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เปโตรได้รับการสอนสิ่งใหม่ๆ เป็นผลให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาตร์มาก่อน สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยผ่านมือเปโตร เพราะเขาไม่ถูกจำกัดการเชื่อฟังพระเจ้าไว้เพียงแค่ต้องเข้าใจทุกอย่างก่อน ต้องรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ก่อน แล้วจึงก้าว แท้จริงในพระคัมภีร์ทุกคนต่างก้าวไปกับพระเจ้าแบบก้าวต่อก้าวทั้งนั้น ไม่มีใครรอให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนเสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจก้าว เพราะนั่นก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อมันสมบูรณ์แล้ว (ความเชื่อเกิดขึ้นในกระบวนการนี้ คือ ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่ามีอยู่จริง แล้วจึงได้รับ) … >>

>> ผู้ที่นั่งรอคอยให้พระเจ้าทำทุกสิ่งจนสมบูรณ์ก่อนแล้วจึงก้าว = ไม่ได้ก้าวเลยสักก้าวเดียว ไม่มีความเชื่อและเชื่อฟังเลยแม้สักน้อย (ในขณะที่พระองค์ทรงสำแดงอย่างชัดเจนแล้ว แสดงว่าที่ไม่ก้าว ไม่ใช่ไม่มั่นใจ แต่ไม่ตัดสินใจต่างหาก หากสามารถพูดได้ว่าพระเจ้าเปิดเผยและสำแดงแก่ตน ก็ไม่สามารถพูดได้ว่า ก้าวไม่ได้…เพราะการเปิดเผยและสำแดงนั่นแหละ คือ การที่พระเจ้าบอกให้เราก้าวแล้ว) เพราะจะไม่มีวันและเวลานั้น เนื่องจากอาจจะถูกเลื่อนยกไปที่คนอื่นแทน และเมื่อมันเกิดขึ้นจริงและสำเร็จจริง คนที่ได้ก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับอย่างที่เปโตรได้รับ

 

3.    ด้วยเหตุที่โครเนลิอัสดำเนินชีวิตด้วยความยำเกรงพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนเขา ทำให้ส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย ไม่เพียงโครเนลิอัสเท่านั้นที่มีประสบการณ์และได้รับ แต่ครอบครัวและคนสนิทก็ได้รับด้วยเช่นเดียวกัน (ข้อ 24 , 27) แสดงให้เห็นว่า โครเนลิอัสมีชีวิตที่มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างในด้านนี้จริงๆ และเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้อื่น

 

4.    การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสดใหม่ตามยุคและวาระเวลาของพระเจ้าเสมอ ดังนั้น หลายสิ่งอาจเป็นเรื่องใหม่ ไม่เคยมีปรากฏขึ้นในอดีตมาก่อน แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ สิ่งที่เราทำได้ คือ… การตอบสนองพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข อย่างวางเงื่อนไข เหตุผลต่างๆ ลง แล้วก้าวไป เพื่อจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยตา และรับพระพรด้วยมือของเราเอง ควรระมัดระวังการปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เปโตรไม่เข้าใจ แม้เปโตรจะมีคำถามกับพระเจ้า แต่เขามีความเชื่อฟังสูงกว่าข้อสงสัยของตนเอง มนุษย์ผู้จำกัด แต่พระเจ้าไม่ทรงจำกัดเลย

 

1181158011

 

261014

 

 

กจ.9:32-42 {เปโตรทำหมายสำคัญ}

 

9:32 ต่อมาเมื่อเปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ก็ลงมาหาพวกวิสุทธิชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย
9:33 เปโตรพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัสที่นั่น เขาเป็นอัมพาตอยู่กับที่นอนแปดปีมาแล้ว
9:34 เปโตรจึงกล่าวแก่เขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูคริสต์ทรงโปรดท่านให้หายโรค จงลุกขึ้นเก็บที่นอนของท่านเถิด” ในทันใดนั้นไอเนอัสได้ลุกขึ้น
9:35 ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นแล้วจึงกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:36 ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งเป็นศิษย์ชื่อทาบิธา ซึ่งแปลว่าโดรคัส หญิงคนนี้เคยกระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมากมาย
9:37 ต่อมาระหว่างนั้นหญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน
9:38 เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกสาวกได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้ชายสองคนไปหาท่าน เชิญท่านมาหาเขาโดยเร็ว
9:39 ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และบรรดาหญิงม่ายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้และชี้ให้ท่านดูเสื้อคลุมกับ เสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งโดรคัสทำเมื่อยังมีชีวิตอยู่
9:40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง
9:41 ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น จึงเรียกวิสุทธิชนทั้งหลายกับพวกหญิงม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย
9:42 เหตุการณ์นั้นลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา คนเป็นอันมากมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า
9:43 ต่อมาฝ่ายเปโตรอาศัยอยู่ในเมืองยัฟฟาหลายวัน อยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง

 

(ข้อ 32-32) เปโตรรักษาโรคด้วยการคำพูดธรรมดาๆ แต่มีสิทธิอำนาจทำให้คนเป็นอัมพาตหายได้

กจ.9:32-42 {เปโตรทำหมายสำคัญ}

 

1.    ครั้นเมื่อพระเยซูยังอยู่ก็ทำหมายสำคัญเหล่านี้ต่อหน้าสาวก เป็นการวางรากฐานให้แก่เขา แต่เพราะความที่พวกเขายังไม่เติบโตในความเชื่อ ยังไม่เข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า อีกทั้งยังมีความเชื่อน้อย จึงไม่สามารถทำหมายสำคัญเหล่านี้ได้ในเวลานั้น … แต่เวลานี้ เขาสามารถทำในสิ่งที่พระเยซูทำได้แล้ว และสามารถทำในแบบอย่างที่พระเยซูทรงวางรากฐานไว้ได้แล้ว แสดงให้เห็นพัฒนาการความเชื่อของเขาที่เติบโตอย่างมาก ออกมาเป็นหมายสำคัญที่ทำ

ลก.10:19-20
10:19 ดูเถิด เราได้ให้พวกท่านมีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่ท่านได้เลย
10:20 แต่ว่าอย่าเปรมปรีดิ์ในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าเพราะชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์”

 

2.    หมายสำคัญมักทำให้ผู้คนเปิดใจต้อนรับพระเยซู เนื่องจาก
♥    เห็นฤทธิ์อำนาจกับตา ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถกระทำได้
   ปลดปล่อยจากการเป็นทาสสู่การป็นไท
♥    ตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการดำเนินชีวิต เช่น การรักษาโรค ถ้อยคำล้ำลึกที่เจาะจง

 

3.    การฟื้นฟูเกิดขึ้นอย่างมากในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้เชื่อคนใดก็ตาม สามารถทำหมายสำคัญเหล่านี้ได้ เพราะฤทธิอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่น เปาโล เปโตร ฟิลิป อัครสาวก และผู้เชื่อทุกคน

 

2

 

191014