Tag Archives: การทำงานของพระวิญญาณ

กจ.8:26-40 {ก้าวต่อก้าวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

8:26 แต่ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้นไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา ซึ่งเป็นทางป่าทราย”
8:27 ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และดูเถิด มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีนั้น ได้มานมัสการในกรุงเยรูซาเล็ม
8:28 ขณะนั่งรถม้ากลับไป ท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์อยู่
8:29 ฝ่ายพระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ชิดรถม้านั้นเถิด”
8:30 ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ จึงถามว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ”
8:31 ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ ที่ไหนจะเข้าใจได้” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถกับท่าน
8:32 พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ ‘เขาได้นำท่านเหมือนแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนลูกแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ตัดขนของมันฉันใด ท่านก็ไม่ปริปากของท่านเลยฉันนั้น
8:33 ในคราวที่ท่านถูกเหยียดลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเสียเลย และผู้ใดเล่าจะประกาศเกี่ยวกับพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดเสียจากแผ่นดินโลกแล้ว’
8:34 ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวอย่างนั้นเล็งถึงผู้ใด เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าเถิด”
8:35 ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มต้นเล่าเรื่องกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู
8:36 ครั้นกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “ดูเถิด มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”
8:37 และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า”
8:38 แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถม้า และคนทั้งสองลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปก็ให้ท่านรับบัพติศมา
8:39 เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไปเสีย และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี
8:40 แต่มีผู้ได้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้ประกาศข่าวประเสริฐในทุกเมืองจนท่านมาถึงเมืองซีซารียา

 

(ข้อ 26-30) แบบอย่างของการทำตามเสียงที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสเรียกให้ทำ … ไม่ต้องร้องขอเหตุผลรองรับ ไม่ต้องรอการรับรอง ไม่ต้องแสดงความสงสัย ไม่มีข้ออ้างในการไม่รู้จักขันที ใดๆ ทั้งสิ้น… แต่ยินดีก้าวตามทันทีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกให้ทำ .. ทันทีที่ไปถึงสถานที่ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้ เหตุการณ์ต่างๆ ได้บรรจบ ฝ่ายขันทีก็แสวงหาพระเจ้าจนกระทั่งพระเจ้าส่งคนมาช่วยให้เขาเข้าใจความล้ำลึกของพระเจ้า

 

(ข้อ 31-35) ฟีลิปไขข้องค้องใจและให้ความกระจ่างในพระวจนะของพระเจ้าแก่ขันที ทำให้เขาเปิดใจต้อนรับและยอมรับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นคำตอบของพระวจนะนั้น

 

(ข้อ 36-38) ขันทีต้องการแสดงออกถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงด้วยการรับบัพติศมา … เทียบกับศักเคียสที่แสดงการกลับใจใหม่ด้วยการบริจาคกับคนอนาถาและคืนให้ผู้ที่เคยโกงถึง 4 เท่า

ลก.19:8 ฝ่ายศักเคียสยืนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ดูเถิด พระองค์เจ้าข้า ทรัพย์สิ่งของของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยอมให้คนอนาถาครึ่งหนึ่ง และถ้าข้าพระองค์ได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ข้าพระองค์ยอมคืนให้เขาสี่เท่า”

 

(ข้อ 39-40) ฟีลิปมีประสบการณ์พระวิญญาณบริสุทธิ์รับเขาไปอีกที่หนึ่ง เป็นประสบการณ์ตรงที่ขันทีเป็นพยาน อีกทั้งเป็นประสบการณ์ตรงของฟีลิปอย่างเจาะจงด้วย (แบบที่ไม่มีใครเหมือน นอกจากโมเสสและเอลียาห์ ถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ทั้งที่ไม่ตาย และไม่มีใครหาศพเจอ , แต่กรณีของฟีลิปเป็นการรับไปยังอีกสถานที่หนึ่ง) …

 

 

ก้าวต่อก้าวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1.    เมื่อพระเจ้าทรงทำทุกสิ่งจะบรรจบกันอย่างลงตัวในทุกฝ่ายเอง เนื่องจากฝ่ายหนึ่งร้องเรียกหาพระเจ้า อีกฝ่ายหนึ่งยินดีเชื่อฟังและตอบสนองพระวิญญาณบริสุทธิ์ …

♥    หากพระเจ้าเรียกให้เราทำอะไร แสดงว่ามีเหตุและผลของมันอยู่ ซึ่งเราอาจไม่รู้จนกว่าจะถึงเวลานั้น แต่หากพระเจ้าเรียกจงรู้ไว้เถิดว่า พระเจ้าไม่เคยผิดพลาด มีบางสิ่งรออยู่เป็นแน่!!!
(*** ข้อควารระวัง หากไม่ตอบสนอง แผนการณ์ของพระเจ้าไม่ได้ล่มเป็นแน่ พระองค์จะใช้สิ่งอื่น คนอื่น ทดแทน เนื่องจากทรงฟังเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งที่ร้องทูลอยู่… ตัวอย่าง… ท้ายที่สุดพระเจ้าใช้ลาให้พูด)

♥    หากเราร้องเรียกหาพระเจ้า เสาะแสวงหาพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ พระองค์จะทรงฟังเสียงของเราเป็นแน่… และจะมีบางสิ่ง บางอย่าง บางคน บางเหตุการณ์ ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเราอย่างแน่นอน

 

 

2.    เมื่อคนกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ย่อมมีผลแห่งการกลับใจใหม่ออกมาให้เห็นเป็นแน่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เติมเต็มในแต่ละคนเอง เพื่อให้ได้มีประสบการณ์ตรงกับพระองค์

 

3.    การก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบก้าวต่อก้าว นอกเสียจากจะได้มีส่วนในสิ่งที่พระเจ้าใช้ผ่านมือ ได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าทำกับตา ไม่เพียงเท่านั้น… แต่จะมีประสบการณ์พิเศษบางอย่างจะเกิดขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง (แบบที่อาจไม่มีใครเหมือน หรือน้อยคนที่ได้รับ … เช่นเดียวกับฟีลิป… ) เพราะการก้าวตามพระวิญญาณบริสุทธิ์แบบก้าวต่อก้าว หมายถึง … การที่เราเชื่อ วางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งเชื่อฟังออกมาอย่างไร้ซึ่งข้อสงสัย คำถาม หรือขอบเขตใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงเสียงตรัสของพระองค์ที่มาถึงเท่านั้นก็ยินดีก้าวตามในทันทีโดยปราศจากเงื่อนไข…  ผู้ที่มีหัวใจเช่นนี้ ย่อมได้รับสิ่งที่พิเศษ สิทธิพิเศษ และประสบการณ์พิเศษ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นแน่

 

2014625101232-images (7)

 

280914

 

 

กจ.5:1-11 {อานาเนียกับสัปฟีรา}

 

5:1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน
5:2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก
5:3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
5:4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
5:5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
5:6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
5:7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
5:8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
5:9 เปโตรจึงถามนางว่า “ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”
5:10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
5:11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น

อานาเนียกับสัปฟีรา

1.    (2 , 8-9) แบบอย่างไม่ดีของการส่งเสริมกันในทางที่ผิดของสามีภรรยา
อานาเนียผู้เป็นสามี เป็นคนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้กับตัว เป็นคนริเริ่มในแผนนั้นก็จริง แต่การเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยา เป็นกายเดียวกัน ต้องมีการห้ามปราม ตักเตือน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทำผิดต่อพระเจ้า เพื่อไม่ให้การลงโทษมาถึงยกครัวเรือน เหตุการณ์นี้เขาตายทั้งคู่ พวกเขาร่วมกันในการโกหกและยักยอกในส่วนของพระเจ้า เทียบได้กับเหตุการณ์เมืองอัยที่อาคานยักยอกของๆ พระเจ้า ทำให้ชนทั้งชาติพ่ายแพ้ศัตรู

ยชว.7:10-26
7:10 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
7:11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
7:12 เพราะฉะนั้นคนอิสราเอลจึงยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของตนไม่ได้ ได้หันหลังหนีต่อหน้าศัตรู เพราะเขากลายเป็นสิ่งที่ถูกสาปแช่ง เราจะไม่อยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะทำลายสิ่งของที่ถูกสาปแช่งเหล่านั้นเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า
7:13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่ง นั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
7:14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
7:15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
7:16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ทรงถูกเลือก
7:17 จึงนำครอบครัวของยูดาห์เข้ามา และทรงเลือกครอบครัวเศ-ราห์ และนำครอบครัวเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีทรงถูกเลือก
7:18 และนำครัวเรือนของท่านเข้ามาทีละคน และคนที่ทรงถูกเลือกคืออาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์
7:19 และโยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล และจงสารภาพต่อพระองค์ และจงบอกข้ามาว่าเจ้าได้กระทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าเลย”
7:20 และอาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริงแล้วที่ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าได้กระทำดังนี้
7:21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
7:22 ฝ่ายโยชูวาก็ให้ผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ ดูเถิด ของนั้นซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง
7:23 เขาก็เอาออกมาจากกลางเต็นท์นำไปให้โยชูวาและคนอิสราเอลทั้งปวง แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
7:24 และโยชูวากับบรรดาคนอิสราเอลจึงพาอาคานบุตรชายเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะแกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดไปยังหุบเขาอาโคร์
7:25 และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความยากร้ายมาให้เรา พระเยโฮวาห์จะทรงนำความยากร้ายมาถึงเจ้าในวันนี้” และบรรดาคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาเขาทั้งหลายด้วยไฟ เมื่อขว้างเขาด้วยก้อนหินแล้ว
7:26 แล้วเอาหินถมกองทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์

ข้อคิด >> สามีภรรยา ต้องคอยตักเตือนกันให้เดินอย่างถูกต้องในทางของพระเจ้า ไม่ส่งเสริมกันในทางที่ผิด ด้วยการเป็นกายเดียวกันจึงต้องรับผิดชอบในกันและกัน
>> การโกหกและยักยอกนี้ เขาทำต่อพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนให้ทุกคนนำของมาถวายเป็นของกลาง การทำงานและการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จึงอยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ การยักยอกเงินส่วนนี้ คือ การยักยอกพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ไม่ใช่เพียงแต่คดโกงมนุษย์

 
2.    (3-4 , 8) เงินอยู่ในมือของมนุษย์
แท้จริงสิทธิในการถวายเป็นของเรา เพราะไม่ว่าจะเงินหรือทรัพย์สินที่พระเจ้ามอบให้เรา มันก็เป็นสิทธิการครอบครองที่พระเจ้าให้กับเรา แต่อานาเนียและสัปฟีราโกหกว่า “ขายได้เงินเท่านี้” แสดงให้เห็นว่า
–    เขาตั้งใจยักยอกส่วนต่างเอาไว้ใช้เอง จึงทำให้เขาโกหก
–    ที่เขาโกหกนั้น ไม่เพียงโกหกมนุษย์ แต่ยังโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางชุมชนด้วย เขาไม่ได้ตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ที่นั่น เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยำเกรง ไม่เกรงกลัว ไม่ให้เกียรติต่อการทรงสถิตย์อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้น
–    การบอกว่าขายได้เท่านี้ แล้วถวายให้หมดเท่าที่ขายได้ = จะเอาหน้าว่าตนเองบริสุทธิ์ ดูดี มอบให้พระเจ้าหมด แต่แท้จริงคือ ยักยอกเอาไว้แล้ว … พระเจ้าไม่เคยต่อว่าเราเรื่องจำนวนมากหรือน้อย แต่การโกหกให้ตนเองดูดีทั้งที่ความจริงตรงข้าม เป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติและไม่สนใจการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อคิด >> เรามีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะถวายเท่าไร การถวายมากน้อย ไม่มีผลต่อการลงโทษในครั้งนี้ แต่การที่เขาโกหกทุกคนโดยไม่คำนึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดการลงโทษถึงตาย
>> อย่ายอมให้เงิน หรือผลประโยชน์ ทำให้เราต้องปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่จะได้รับพระพรทั้งที่ถวายออก กลับต้องตายเพราะหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

*** ยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานและเคลื่อนไปในทิศทางใด แบบใด เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราต้องให้เกียรติพระองค์ในการทำงานด้านนั้นๆ ส่วนนั้นๆ เพราะนั่นคือ การทำงานของพระเจ้าเองโดยตรง หากหมิ่นประมาทพระองค์ด้วยการไม่ใส่ใจ หรือทำบางสิ่งที่ดูหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่พระพร จึงกลับกลายเป็นคำแช่งสาป***

 

18_07May2013020839_1

 

310814

 

 

กจ.3:1-26 {เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์}

 

3:1 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปจะเข้าพระวิหารในเวลาอธิษฐาน เป็นเวลาบ่ายสามโมง
3:2 มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยตั้งแต่ครรภ์มารดา ทุกวันคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร
3:3 คนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
3:4 ฝ่ายเปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูพวกเราเถิด”
3:5 คนขอทานนั้นได้เขม้นดู คาดว่าจะได้อะไรจากท่าน
3:6 เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองข้าพเจ้าไม่มี แต่ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ข้าพเจ้าจะให้ท่าน คือในพระนามแห่งพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงลุกขึ้นเดินไปเถิด”
3:7 แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง
3:8 เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตรและยอห์น เดินเต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าไป
3:9 คนทั้งปวงเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า
3:10 จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นซึ่งนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดแก่คน นั้น
3:11 เมื่อคนง่อยที่หายนั้นยังยึดเปโตรและยอห์นอยู่ ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านที่เฉลียงพระวิหารซึ่งเรียกว่า เฉลียงของซาโลมอน ด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
3:12 พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวแก่คนเหล่านั้นว่า “ท่านชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ไฉนท่านพากันประหลาดใจด้วยคนนี้ เขม้นดูเราทำไมเล่า อย่างกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์หรือความบริสุทธิ์ของเราเอง
3:13 พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ทรงโปรดประทานพระเกียรติแด่พระเยซูพระบุตรของพระองค์ ผู้ซึ่งท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต เมื่อเขาตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป
3:14 แต่ท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ซึ่งเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และได้ขอให้เขาปล่อยฆาตกรให้ท่านทั้งหลาย
3:15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเป็นพยานในเรื่องนี้
3:16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ได้กระทำให้คนนี้หายปกติต่อหน้าท่านทั้ง หลาย
3:17 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายได้กระทำการนั้นเพราะไม่รู้เรื่องราวอะไร ทั้งคณะผู้ครอบครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย
3:18 แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายของ พระองค์ว่า พระคริสต์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น
3:19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อเวลาชื่นใจยินดีจะได้มาจากพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
3:20 และเพื่อพระองค์จะได้ทรงใช้พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเมื่อก่อนนั้นได้แจ้งไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว
3:21 พระองค์นั้น สวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
3:22 ที่จริงโมเสสได้กล่าวไว้แก่บรรพบุรุษว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดาพยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังผู้นั้นในสิ่งสารพัดซึ่งพระองค์จะได้ตรัสแก่ท่าน
3:23 และจะเป็นเช่นนี้คือถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่ตั้งใจฟังศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากท่ามกลางประชาชน’
3:24 และบรรดาศาสดาพยากรณ์ ตั้งแต่ซามูเอลเป็นลำดับมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกันพยากรณ์ถึงกาลครั้งนี้
3:25 ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์นั้น และของพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ทรงกระทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา คือได้ตรัสแก่อับราฮัมว่า ‘บรรดาครอบครัวทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเจ้า’
3:26 ครั้นพระเจ้าทรงโปรดให้พระเยซูพระบุตรของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว จึงทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพระพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ท่านทั้งหลายทุกคนกลับจากความชั่วช้าของตน”

 

เริ่มต้นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

1.    (1-10) หมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำผ่านเปโตรและยอห์น
– ขอทานต้องการแค่เงิน แต่เขากลับได้รับมากกว่านั้น คือ การหายโรค…. พระเจ้ามักให้มากกว่าในสิ่งที่มนุษย์คาดคิดเสมอ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีเสมอสำหรับเราแต่ละคน

– เป็นยุคพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้น หมายสำคัญจึงเกิดขึ้นอย่างมาก = มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ต้องมีหมายสำคัญ หมายสำคัญจะไม่ขาดหายไปจากผู้ที่ดำเนินชีวิตไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะหมายสำคัญเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ

 

2.    (11-13) เปโตรมอบเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า
– เปโตรมอบเกียรตินี้ให้กับพระเจ้า ไม่อวดอ้างว่าเป็นความสามารถของตนเองเลย แม้คนจะยกย่องเปโตรก็ตาม เขามอบเกียรติให้กับพระเจ้าโดยไม่อ้างถึงความดีและความสามารถใดๆ ของตนเองเลย

– เปโตรพลิกลักษณะนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิงจากเดิม ที่เป็นคนขี้อวด ขี้โม้ ชอบได้หน้า.. แต่บัดนี้เมื่อเขาผ่านเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ได้เห็นการฟื้นพระชนม์ ได้รับคำสั่งเจาะจง การให้อภัยของพระเยซู และที่สำคัญคือ ได้รับการสวมทับของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาได้ถ่อมลงโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรที่เขาจะอวด โม้ อีกต่อไป เขามอบทั้งสิ้นแด่พระเจ้า พระเยซู โดยสิ้นเชิง

** ข้อควรระวัง … อย่าคิดว่าเราเป็นคนนั้นที่ทำการอัศจรรย์ ทำให้แย่งเกียรติของพระเจ้ามาไว้ที่เรา เช่น ควรระวังว่าเพราะชีวิตที่ดีของเรา ทำให้หมายสำคัญเกิดขึ้น

–  แท้จริงการรักษาชีวิตเป็นเงื่อนไขหนึ่ง ของการที่พระเจ้าจะทำงานผ่านเราได้ง่ายๆ แต่ไม่ใช่เพราะชีวิตที่ดีของเรา  สิ่งเหล่านี้จึงเกิดขึ้น เป็นเส้นบางๆ ที่ต้องระวังรักษาตนเองไม่ให้พลาดในการมอบถวายเกียรติแด่พระเจ้าทั้งสิ้น

 

3.    (14-25) การกล่าวคำพยานของเปโตร
–  กลุ่มคนเหล่านั้น คือ คนที่ร่วมตรึงพระเยซูทั้งนั้น แต่เปโตรก็ยังประกาศแก่เขาอยู่ดี เพื่อนำพวกเขากลับมาหาพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้ามีแผนการณ์ที่ดีถึงทุกคน

–  เปโตรและคณะก็ต้องยอมวางความรู้สึกของตนเองลง และเลือกทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า ทำให้มุ่งมั่นที่จะเป็นพยานให้เขากลับมาหาพระเจ้า

 

4.    (22-26) การอ้างอิงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม
– เป็นการอ้างอิงถึงพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม (OT) ที่สำเร็จถึงสิ่งที่พระเยซูทำ = เป็นบทสรุปและสนับสนุนว่า ทุกสิ่งในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ (NT) เป็นการสนับสนุนเรื่องราวใน OT ให้สำเร็จสมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ไม่สามารถตัด OT ทิ้งจากชีวิตเราได้ เพราะสาวกก็ดำเนินชีวิตแบบศึกษาและเดินตาม OT ตลอดเวลา

 

imageswwwwww

 

10/08/2014 11:48