Tag Archives: พระธรรมกิจการ

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

9:20 และโดยทันทีทันใดท่านประกาศตามธรรมศาลา กล่าวเรื่องพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
9:21 คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกปุโรหิตใหญ่”
9:22 แต่เซาโลยิ่งมีกำลังทวีขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสนิ่งอึ้งอยู่ โดยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
9:23 และหลังจากนั้นอีกหลายวันพวกยิวได้ปรึกษากันจะฆ่าเซาโลเสีย
9:24 แต่เรื่องการปองร้ายของเขารู้ถึงเซาโล เขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง คอยฆ่าเซาโลทั้งกลางวันและกลางคืน
9:25 แต่เหล่าสาวกได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
9:26 ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านใคร่จะคบให้สนิทกับพวกสาวก แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก
9:27 แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครสาวก แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่กลางทาง และพระองค์ตรัสแก่ท่าน ท่านจึงประกาศออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส
9:28 แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครสาวกในกรุงเยรูซาเล็ม
9:29 ประกาศออกพระนามของพระเยซูเจ้าด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านเสีย
9:30 เมื่อพี่น้องรู้อย่างนั้นจึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส
9:31 เหตุฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุขและเจริญขึ้น ดำเนินชีวิตด้วยใจยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความปลอบประโลมใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกก็ยิ่งทวีมากขึ้น

กจ.9:20-31 {การพิสูจน์ชีวิตของเซาโล}

 

1.    การที่เซาโลเคยต่อต้านพระคริสต์อย่างที่สุด กลับใจใหม่มาเชื่อและเดินติดตามพระเจ้า ย่อมยังคงมีภาพเก่าๆ ของพฤติกรรมเซาโลติดตาผู้อื่นอยู่ เช่น การเข่นฆ่า การข่มเหง คริสเตียน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้เชื่อคนอื่น แม้เซาโลจะมีประสบการณ์ที่เด่นชัดจากพระเยซูด้วยตนเองก็ตาม ถึงกระนั้นเซาโลไม่ได้ตีอกชกตัว โกรธผู้อื่น แต่เขากลับพิสูจน์ชีวิต พิสูจน์ผลแห่งการกลับใจใหม่ของเขา ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างดี ประกาศพระนามพระคริสต์อย่างไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดๆ วางคำครหาและการไม่ยอมรับลง แต่เดินหน้าติดตามพระเจ้าอย่างที่สุดในส่วนของตนเอง จนกระทั่งผู้เชื่อคนอื่นเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และเชื่อวางใจในตัวเซาโลว่าเขากลับใจใหม่แล้วจริงๆ … เป็นปกติที่คนเราจะไม่ได้รับการยอมรับในสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่สิ่งที่ควรกระทำอย่างแรก … คือ … การจดจ่อในการยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ตนเองจนผู้อื่นเห็นและสัมผัสได้ในที่สุด และเหตุนี้เองพระเจ้าจะเป็นผู้อยู่ฝ่ายเรา

 

2.    (ข้อ 22) เซาโลไม่ได้มัวแต่นั่งท้อใจที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือการสนับสนุนเป็นอย่างดีในการเดินติดตามพระเจ้าของตนเอง แต่เขากลับมีกำลังใหม่ ซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงขนาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ที่เขาแสวงหา… ท่ามกลางเสียงของผู้เชื่อเดิม , ท่ามกลางการรับผลเดิมๆ ที่เขาทำ , ท่ามกลางการพยายามเข้าใจวิถีชีวิตใหม่ในการเดินติดตามพระเจ้า ,… ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเซาโลเลย ที่ละทิ้งตำแหน่ง เกียรติยศชื่อเสียงที่มีในอดีต หันกลับมาหาพระเจ้าและรับใช้อย่างจริงจัง แต่เพราะเขามีประสบการณ์ตรงที่ชัดเจนกับพระเยซู (กจ.9:3-9)  ทำให้เขาไม่ลดละและหันหลังกลับไป แม้ปราศจากที่พึ่งพา แต่เขากลับได้รับกำลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์

กจ.9:3-9
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย

 

3.    (ข้อ 27-30) เมื่อเซาโลได้พิสูจน์ชีวิตด้วยการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจในส่วนของตนเอง ทำให้ผู้เชื่อคนอื่นๆ ที่หวาดระแวงเซาโลจากภาพในอดีตของเขา ได้เห็นว่าเซาโลเปลี่ยนแปลงแล้วจริงๆ เขาเป็นคนของพระเจ้าแล้วจริงๆ การช่วยเหลือและสนับสนุนมาถึงอย่างมาก… แสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อในสมัยนั้นยินดีจะช่วยเหลือ ผู้ที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง โดยไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ลังเลที่จะช่วยเหลือกันและกันในความเชื่อ เพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง อีกทั้งเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกันในกรประกาศพระนามของพระคริสต์ โดยใครทำอะไรได้ก็ทำ ไม่มีเกี่ยงงอน (ข้อ 25)

 

4.    (ข้อ 31) พระราชกิจของพระเจ้าจะยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก หากผู้เชื่อร่วมแรงร่วมใจกัน ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้สวนกระแสโลก คือ กระแสการต่อต้าน … แต่ยิ่งมีการต่อต้านมากเท่าไร การฟื้นฟูอันเนื่องจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งมากเท่านั้น ทั้งนี้การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้เชื่อเป็นปัจจัยสำคัญ

 

Be-In-This-Moment

 

191014

 

 

 

กจ.9:1-19 {ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล}

 

9:1 ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามกล่าวว่าจะฆ่าศิษย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสีย จึงไปหามหาปุโรหิต
9:2 ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าพบผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม
9:3 เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวเขาไว้รอบ
9:4 เซาโลจึงล้มลงถึงดินและได้ยินพระสุรเสียงตรัสแก่เขาว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม”
9:5 เซาโลจึงทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหง ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก”
9:6 เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เขาว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และจะมีคนบอกให้รู้ว่า เจ้าจะต้องทำประการใด”
9:7 คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งพูดไม่ออก ได้ยินพระสุรเสียงนั้นแต่ไม่เห็นใคร
9:8 ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น เขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส
9:9 ตาท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันและท่านมิได้กินหรือดื่มอะไรเลย
9:10 ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ดูเถิด ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”
9:11 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะดูเถิด เขากำลังอธิษฐานอยู่
9:12 และในนิมิตเขาได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนเขา เพื่อเขาจะเห็นได้อีก”
9:13 แต่อานาเนียทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิสุทธิชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมาก
9:14 และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกปุโรหิตใหญ่ ให้ผูกมัดคนทั้งปวงที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
9:15 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำนามของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์และชนชาติอิสราเอล
9:16 เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าใดเพราะนามของเรา”
9:17 แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านวางมือบนเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโลเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเยซู ได้ทรงปรากฏแก่ท่านกลางทางที่ท่านมานั้น ได้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อท่านจะเห็นได้อีก และเพื่อท่านจะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
9:18 และในทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดตกจากตาของเซาโล แล้วก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา
9:19 พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน

 

(ข้อ 1-2) เซาโลยังคงยืนหยัดและขันแข็งในการต่อต้านผู้ที่ติดตามพระเยซู… เขาคิดว่าสิ่งนี้คือ การรับใช้พระเจ้าพระบิดา และเป็นสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ตามที่เขาได้เล่าเรียนมา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา … ด้วยเหตุที่คิดว่าพระเยซูลบหลู่พระบิดา คนที่ติดตามพระเยซูก็ด้วยเช่นกัน ความคิดเช่นนี้เกิดจากการขาดประสบการณ์ตรงกับพระเยซู เขาได้แต่ฟังจากคำบอกเล่า (จากบรรดาปุโรหิตและผู้ที่เคร่งครัดในบัญญัติ) ทำให้จิตใจภายในที่รักและภักดีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเดิมทุน แต่กลับไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระเจ้า … เหตุนี้เองพระเจ้าจึงเลือกเซาโล เลือกที่จะพบกับเซาโล เพราะใจที่รักพระเจ้าของเขา …

 

(ข้อ 3-9) ประสบการณ์ตรงในการทรงเรียกและพบพระเยซูของเซาโล… ไม่เพียงแค่เซาโลเท่านั้น แต่คนที่ติดตามเซาโลมาด้วยก็เป็นพยานถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำต่อเซาโล
♦ เซาโลรู้ว่าตนเองกำลังรับใช้และปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ เป็นความรู้และเชื่อตามแบบอย่างบรรพบุรุษ แต่เขายังไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าเลยสักครั้ง… การที่เซาโลกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงเป็นผู้ใด” (ข้อ 5) เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาอยากรู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัวของเขาเอง เป็นการเรียกหาพระองค์ เป็นการร้องขอการสำแดงพระองค์เองต่อตัวเขาอย่างเจาะจง
♦ การตาบอดของเซาโล ไม่ได้เกิดจากโรคร้าย ไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นหมายสำคัญและตราประทับให้เซาโลมีประสบการณ์ที่ตราตรึง ไม่ใช่แค่ชั่วครู่แล้วหลงลืม แต่เป็นระยะเวลาถึง 3 วัน เพื่อเซาโลจะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าประสบการณ์ที่ตนเองมีกับพระเจ้านั้นเป็นเพียงการคิดไปเอง… แต่เป็นความจริงที่เขาเผชิญหน้ากับพระเยซูโดยตรงและเป็นประสบการณ์ที่เป็นดั่งตราประทับที่หนักแน่นมั่นคง เพื่อการประกาศพระนามพระเยซูคริสต์ในอนาคต

 

(ข้อ 10-19) อานาเนียเป็นบุคคลหนึ่งที่รักพระเจ้า และพระองค์ใช้ให้ไปวางมือเซาโลเพื่อให้เซาโลมองเห็น …
ท่าทีแรกสุดของอานาเนีย เมื่อภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้มาถึง คือ… หวั่นกลัว ไม่ต้องการจะทำตาม เพราะเหตุที่เซาโลทำร้ายผู้รับใช้และติดตามพระเยซูคริสต์อย่างหนัก ข่าวสารเรื่องเซาโลหนักแน่นมั่นคงในการทำร้ายคนของพระเจ้านั้นกระจายออกไปจนใครๆ ก็หวั่นกลัว  ไม่เว้นแม้แต่อานาเนีย… แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงสิ่งที่เขาต้องทำและสิ่งที่พระเจ้าจะทำแก่เขา เป็นเหตุให้อานาเนียวางความหวาดกลัวนั้นลง เขาไม่ได้มัวแต่นั่งต่อรองพระเจ้า ไม่ได้มัวแต่หยิบยกเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะให้พระเจ้าเปลี่ยนพระทัย หรือไปใช้คนอื่นแทน… แต่เขากลับก้าวตามพระเจ้าอย่างไม่มีข้อแม้ …  แม้ว่าเขายังมีความหวั่นกลัวอยู่ก็ตาม แต่เขาเกรงกลัวต่อพระเจ้าผู้ใช้เขามากกว่า เขาเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อข่าวสาร มากกว่าเชื่อสันชาตญาณหรือเนื้อหนังของตนเอง… และพระเจ้าก็รับรองอานาเนีย จนกลายเป็นคนที่วางมือเซาโลและเป็นผู้ที่วางรากฐาน เป็นแบบอย่างให้กับเซาโลอย่างแท้จริง

 

ประสบการณ์กลับใจใหม่ของเซาโล

1.    ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่รักและสัตย์ซื่อในการเดินติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ อย่างที่สุด แม้จะผิดไปจากน้ำพระทัยพระเจ้าและแผนการณ์พระเจ้าไปบ้าง บางครั้งอาจถึงขั้นเป็นผู้ต่อต้านการงานของพระเจ้าเสียเองด้วยซ้ำ (ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว) … แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะนำกลับมายังทางที่ถูกเป็นแน่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้ชันสูตรจิตใจภายในลึกกว่ามนุษย์ ที่มองเพียงแค่การกระทำเท่านั้น

 

2.    บางสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา อาจมองดูเป็นสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีและพึงประสงค์สักเท่าไรนัก แต่หากสิ่งนั้นไม่ได้เกิดจากความบาป แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เพื่อเป็นประสบการณ์ตรง ย่อมเป็นสิ่งดีเพื่อเราจะไม่หลงลืมง่ายๆ และไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้อย่างง่ายๆ … ธรรมชาติมนุษย์มักหลงลืมสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าทำอย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องดีที่พระเจ้าให้เราแต่ละคนมีประสบการณ์ตรงบางอย่างที่เจาะจง และฝังลึกลงไปในความทรงจำ ในจิตวิญญาณ เพื่อวันข้างหน้าจะสามารถประกาศพระนามพระเจ้าและถวายเกียรติแด่พระองค์ได้อย่างแท้จริง

 

3.    การเชื่อฟังพระเจ้านั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด สำคัญกว่าเหตุผลอันเป็นจริง … เราจำเป็นต้องวางทุกสิ่งลงที่เป็นเหตุให้ไม่กล้าทำตาม หรือเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า (***แน่นอนว่าหลายๆ ครั้ง หลายๆ เรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เป็นเรื่องยากเสียด้วยซ้ำ… แต่มันเป็นเรื่องของการตัดสินใจและการมอบถวาย***) เมื่อพระเจ้าตรัสสั่งและเรียกให้ทำสิ่งใดๆ นั่นคือ… สิ่งที่เราจำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญูทรงรู้ทุกสิ่งและทุกสิ่งจะบรรจบในแผนการณ์ของพระเจ้าเมื่อเราแต่ละคนเชื่อฟัง

 

repentance

 

051014

 

 

กจ.8.1-25 {การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ}

 

8:1 การที่เขาฆ่าสเทเฟนเสียนั้นเซาโลก็เห็นชอบด้วย คราวนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และศิษย์ทั้งปวงนอกจากพวกอัครสาวกได้กระจัดกระจายไปทั่วแว่นแคว้นยูเดียกับ สะมาเรีย
8:2 ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง
8:3 ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายคริสตจักร โดยเข้าไปฉุดลากชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปจำไว้ในคุก
8:4 ฉะนั้นฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น
8:5 ส่วนฟีลิปจึงลงไปยังเมืองสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง
8:6 ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังถ้อยคำที่ฟีลิปได้ประกาศ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้กระทำนั้น
8:7 ด้วยว่าผีโสโครกที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาตกับคนง่อยก็หายเป็นปกติ
8:8 จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น
8:9 ยังมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำเวทมนตร์ในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ
8:10 ฝ่ายคนทั้งปวงทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “ชายคนนี้เป็นมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า”
8:11 คนทั้งหลายนับถือเขา เพราะเขาได้ทำเวทมนตร์ให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว
8:12 แต่เมื่อฟีลิปได้ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระนามแห่งพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อ และรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง
8:13 ฝ่ายซีโมนเองจึงเชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นการอัศจรรย์กับหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งฟีลิปได้กระทำ
8:14 เมื่อพวกอัครสาวกซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า ชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขา
8:15 ครั้นเปโตรกับยอห์นลงไปถึงก็อธิษฐานเผื่อเขา เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:16 (ด้วยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับผู้ใด เป็นแต่เขาได้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระเยซูเจ้าเท่านั้น)
8:17 เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนเขา แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์
8:18 และเมื่อซีโมนเห็นว่า คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการวางมือของอัครสาวก จึงนำเงินมาให้อัครสาวก
8:19 พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์อย่างนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะวางมือบนผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”
8:20 ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวแก่ซีโมนว่า “ให้เงินของเจ้าพินาศไปด้วยกันกับเจ้าเถิด เพราะเจ้าคิดว่าจะซื้อของประทานแห่งพระเจ้าด้วยเงินได้
8:21 เจ้าไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งในการนี้เลย เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงในสายพระเนตรของพระเจ้า
8:22 เหตุฉะนั้น จงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้านี้ และอธิษฐานขอพระเจ้าบางทีพระองค์จะทรงโปรดยกความผิดซึ่งเจ้าคิดในใจของเจ้า
8:23 ด้วยเราเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่นและติดพันธนะแห่งความชั่วช้า”
8:24 ฝ่ายซีโมนจึงตอบว่า “ขอท่านอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อเหตุการณ์ที่ท่านได้กล่าวแล้วนั้นจะไม่ได้อุบัติแก่ตัวข้าพเจ้าสัก อย่างเดียว”
8:25 ครั้นพวกอัครสาวกเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้ประกาศข่าวประเสริฐตามทางในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง

 

(ข้อ 1-8) แม้มีการข่มเหงเกิดขึ้นอย่างมากมายจนกระทั่งทำให้ผู้เชื่อกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการงานของพระเจ้าได้ แต่กลับยิ่งทำให้การประกาศข่าวประเสริฐถูกแพร่กระจายไปยังที่ต่างๆ ตามที่ผู้เชื่อถูกกระจายไป

 

(ข้อ 14-17) เมื่ออัครทูตได้ยิน ได้รับแจ้ง ได้ทราบข่าวคราว ว่าเกิดการฟื้นฟูที่สะมาเรีย ก็รีบให้การสนับสนุนทันที โดยส่งเปโตรและยอห์นมาช่วยฟีลิปวางรากฐาน และพาผู้เชื่อใหม่ให้ได้มีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเร็วที่สุด … การทำงานของพระเจ้าในยุคนั้นเป็นการสนับสนุนซึ่งกันและกัน ผู้อาวุโสในความเชื่อมากกว่าจะทำการสนับสนุนผู้อ่อนกว่า ดังเช่น อัครสาวกสนับสนุนการรับใช้ของฟีลิป แม้ฟิลิปเพิ่งเชื่อไม่นาน แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำการยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสนับสนุนกันจึงเป็นสิ่งที่คริสตจักรในสมัยอัครทูตกระทำเป็นปกติ โดยไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทุกคนต่างร่วมกันรับใช้ และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเต็มขนาด ในพระนามพระเยซูคริสต์

 

(ข้อ 9-13 , 18-24) ซีโมนคนเล่นคาถาอาคม ที่กลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซู เนื่องจากได้เห็นการอัศจรรย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขายอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า รับบัพติศมาในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า … แต่ด้วยวิถีชีวิตเดิมๆ ความเข้าใจเดิมๆ และการทำมาหากินแบบเดิมๆ ทำให้เขาคาดหวังผลประโยชน์กำไรจากหมายสำคัญที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำ ว่าจะสามารถหารายได้สร้างเงินเข้ากระเป๋าตนเองได้ เขาขาดความรู้ความเข้าใจในการเดินติดตามพระคริสต์ ว่าต้องมีวิถีชีวิตใหม่ด้วย … แต่เปโตรได้สั่งสอนเขาในทางที่ถูกต้อง ชี้ให้เห็นในสิ่งที่เขาคิดผิด มีเจตนาที่มิชอบในสายพระเนตรพระเจ้า ทำให้เขาเข้าใจ กลับใจใหม่ ตั้งใจเปลี่ยนแปลงและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างถูกต้องชอบธรรม

 

(ข้อ 25) การขยายและการฟื้นฟูมากมาย

 

การฟื้นฟูอย่างมากท่ามกลางการข่มเหงผู้เชื่อ

 

1.    ไม่ว่าผู้เชื่อจะอยู่ที่ใด เป็นใครก็ตาม ที่ยังคงขมักเขม้น สัตย์ซื่อในการแสวงหาและเดินติดตามพระเจ้า อีกทั้งยังเคลื่อนในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย่อมมีหมายสำคัญเกิดขึ้น และติดตัวเขาไป … การเดินกับพระเจ้า การรู้จักพระเจ้า การเสาะแสวงหาพระเจ้า ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสถานที่ บุคคล ตำแหน่ง หรือแม้แต่การถูกข่มเหง แต่พระเจ้าทำงานได้อย่างเต็มขนาดในผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม …  หมายสำคัญของพระเจ้าที่ฟีลิปทำ ไม่ได้น้อยไปกว่าที่อัครสาวกทำเลย ขนาดคนเล่นคาถาอาคมยังกลับใจใหม่ หันมาเดินติดตามพระคริสต์ได้ ย่อมหมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในตัวฟีลิปอย่างแท้จริง แม้ในขณะนั้นเขาไม่มีอัครสาวกคอยสอนหรือชี้นำก็ตาม … ดังนั้นไม่ว่าผู้เชื่อจะเป็นใคร อยู่ที่ไหนก็ตาม  สามารถให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานนำการฟื้นฟูได้เช่นเดียวกัน ทำหมายสำคัญผ่านได้เช่นเดียวกัน เพราะผู้ที่ทำการนั้นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์เอง

 

2.    การข่มเหงไม่สามารถหยุดยั้งแผนการณ์ของพระเจ้าได้เป็นแน่ แต่ตรงกันข้ามกลับยิ่งทำให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและการประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งกว้างไกลออกไปยิ่งๆ ขึ้น

 

3.    ทุกคนรับใช้พระเจ้าในส่วนที่ตนเองถนัดและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการฟื้นฟูที่มาอย่างรวดเร็วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อประกาศพระนามพระเยซู นอกจากจะได้ทำหมายสำคัญ ทำให้ได้เห็นอัศจรรย์ในสิ่งที่พระเจ้ากับตาแล้ว ยังเป็นการพัฒนาชีวิตในฝ่ายวิญญาณไปพร้อมๆ กัน

 

4.    เมื่อมีผู้เชื่อใหม่ เป็นปกติที่คนยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินชีวิตใหม่ที่ชอบธรรม การสั่งสอนตามพระวจนะของพระเจ้า จะทำให้ผู้เชื่อเหล่านั้นเติบโตขึ้นได้อย่างดี

 

5.    เราไม่สามารถใช้ของประทานที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เพื่อแสวงหารายได้ หาผลประโยชน์เข้าตนเองได้เลยทั้งทางตรงและทางอ้อม อันเนื่องจากจะทำให้ตกอยู่ภายใต้การขมขื่น (ทั้งของตนเองที่คาดหวังการเงิน และผู้อื่นที่สะดุด) และการผูกมัดของความอธรรม … อย่ายอมให้เงินมาทำให้ต้องทำผิดกับพระเจ้าและข้องเกี่ยวกับความอธรรม ความชั่วร้ายเลย ไม่ว่าทางใดก็ตาม เพื่อปกป้องตนเองไม่ให้พลาดพลั้งไปในการอธรรมนั้น (ข้อ 20-23)

 

imagesfff

 

280914

 

 

กจ.7:1-60 {แบบอย่างชีวิตของสเทเฟน}

 

7:1 มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้จริงหรือ”
7:2 ฝ่ายสเทเฟนจึงตอบว่า “ท่านทั้งหลาย พี่น้องและบรรดาท่านผู้อาวุโส ขอฟังเถิด พระเจ้าแห่งสง่าราศีได้ปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา เมื่อท่านยังอยู่ในประเทศเมโสโปเตเมียก่อนที่ไปอาศัยอยู่ในเมืองฮาราน
7:3 และได้ตรัสกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้เจ้าเห็น’
7:4 อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดียไปอาศัยอยู่ที่เมืองฮาราน หลังจากที่บิดาของท่านสิ้นชีพแล้ว พระองค์ทรงให้ท่านออกจากที่นั่น มาอยู่ในแผ่นดินนี้ที่ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ทุกวันนี้
7:5 แต่พระองค์ไม่ทรงโปรดให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้แม้เท่าฝ่าเท้าก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีบุตร พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลังท่าน
7:6 พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เชื้อสายของท่านจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และชาวประเทศนั้นจะเอาเขาเป็นทาส และจะข่มเหงเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี
7:7 พระเจ้าตรัสว่า ‘และเราจะพิพากษาประเทศที่เขาจะเป็นทาสนั้น ภายหลังเขาจะออกมาและปรนนิบัติเรา ณ สถานที่นี้’
7:8 พระองค์ได้ทรงตั้งพันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมให้กำเนิดบุตรชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตในวันที่แปด อิสอัคให้กำเนิดบุตรชื่อยาโคบ และยาโคบให้กำเนิดบุตรสิบสองคน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา
7:9 ฝ่ายบรรพบุรุษเหล่านั้นคิดอิจฉาโยเซฟจึงขายเขาไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าทรงสถิตกับโยเซฟ
7:10 ทรงโปรดช่วยโยเซฟให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งสิ้น และทรงให้ท่านเป็นที่โปรดปรานและมีสติปัญญาในสายพระเนตรของฟาโรห์ กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ ท่านจึงตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ปกครองประเทศอียิปต์กับทั้งพระราชสำนักของท่าน
7:11 แล้วบังเกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์และแผ่นดินคานาอัน และมีความลำบากมาก บรรพบุรุษของเราจึงไม่มีอาหาร
7:12 ฝ่ายยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งแรก
7:13 พอคราวที่สองโยเซฟก็สำแดงตัวให้พี่น้องรู้จัก และให้ฟาโรห์รู้จักวงศ์ญาติของตนด้วย
7:14 ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบบิดากับบรรดาญาติของตนเจ็ดสิบห้าคนให้มาหา
7:15 ยาโคบได้ลงไปยังประเทศอียิปต์ แล้วท่านกับพวกบรรพบุรุษของเราได้สิ้นชีพ
7:16 เขาจึงได้นำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคมในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่งซื้อจากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม
7:17 เมื่อใกล้เวลาตามพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้ทวีมากขึ้นในประเทศอียิปต์
7:18 จนกระทั่งกษัตริย์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟได้ขึ้นเสวยราชย์
7:19 กษัตริย์องค์นั้นได้ทรงออกอุบายทำกับญาติของเรา ข่มเหงบรรพบุรุษของเรา บังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของเขาเสียไม่ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้
7:20 คราวนั้นโมเสสเกิดมามีรูปร่างงดงาม เขาจึงได้เลี้ยงไว้ในบ้านบิดาจนครบสามเดือน
7:21 และเมื่อลูกอ่อนนั้นถูกทิ้งไว้นอกบ้านแล้ว ราชธิดาของฟาโรห์จึงรับมาเลี้ยงไว้ต่างบุตรชายของตน
7:22 ฝ่ายโมเสสจึงได้เรียนรู้ในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีความเฉียบแหลมมากในการพูดและกิจการต่าง ๆ
7:23 แต่ครั้นโมเสสมีอายุได้สี่สิบปีเต็มแล้ว ก็นึกอยากจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องของตน คือชนชาติอิสราเอล
7:24 เมื่อท่านได้เห็นคนหนึ่งถูกข่มเหงจึงเข้าไปช่วย โดยฆ่าชาวอียิปต์ซึ่งเป็นผู้กดขี่นั้นเป็นการแก้แค้น
7:25 ด้วยคาดว่าญาติพี่น้องคงเข้าใจว่า พระเจ้าจะทรงช่วยเขาให้รอดด้วยมือของตน แต่เขาหาเข้าใจดังนั้นไม่
7:26 วันรุ่งขึ้นโมเสสได้เข้ามาพบเขาขณะวิวาทกัน ก็อยากจะให้เขากลับดีกันอีก จึงกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านเป็นพี่น้องกัน ไฉนจึงทำร้ายกันเล่า’
7:27 ฝ่ายคนที่ข่มเหงเพื่อนนั้นจึงผลักโมเสสออกไปและกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา
7:28 เจ้าจะฆ่าเราเสียเหมือนฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ’
7:29 เมื่อโมเสสได้ยินคำนั้นจึงหนีไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินมีเดียน และให้กำเนิดบุตรชายสองคนที่นั่น
7:30 ครั้นล่วงไปได้สี่สิบปีแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟที่พุ่มไม้ ในถิ่นทุรกันดารแห่งภูเขาซีนาย
7:31 เมื่อโมเสสเห็นก็ประหลาดใจด้วยเรื่องนิมิตนั้น ครั้นเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็มีพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขา
7:32 ว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ โมเสสจึงกลัวจนตัวสั่นไม่อาจมองดู
7:33 ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับโมเสสว่า ‘จงถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่บริสุทธิ์
7:34 ดูเถิด เราได้เห็นความทุกข์ของชนชาติของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขา และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอด จงมาเถิด เราจะใช้เจ้าไปยังประเทศอียิปต์’
7:35 โมเสสผู้นี้ซึ่งถูกเขาปฏิเสธโดยกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาพวกเรา’ โดยมือของทูตสวรรค์ซึ่งได้ปรากฏแก่ท่านที่พุ่มไม้ พระเจ้าทรงใช้โมเสสคนนี้แหละให้เป็นทั้งผู้ครอบครองและผู้ช่วยให้พ้น
7:36 คนนี้แหละ เป็นผู้นำเขาทั้งหลายออกมา โดยที่ได้ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญต่าง ๆ ในแผ่นดินอียิปต์ ที่ทะเลแดงและในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี
7:37 โมเสสคนนี้แหละได้กล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะทรงโปรดประทานศาสดา พยากรณ์ผู้หนึ่ง เหมือนอย่างเราให้แก่ท่านจากจำพวกพี่น้องของท่าน ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังผู้นั้น’
7:38 โมเสสนี้แหละได้อยู่กับพลไพร่ในถิ่นทุรกันดารกับทูตสวรรค์ซึ่งได้ตรัสแก่ ท่านที่ภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเรา ที่ได้รับพระดำรัสอันทรงชีวิตมาให้เราทั้งหลาย
7:39 บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสผู้นี้ แต่ได้ผลักไสท่านให้ไปจากเขา ด้วยมีใจปรารถนาจะกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์
7:40 จึงกล่าวแก่อาโรนว่า ‘ขอสร้างพระให้แก่พวกข้าพเจ้า ซึ่งจะนำพวกข้าพเจ้าไป ด้วยว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าพเจ้าออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบ’
7:41 ในคราวนั้นเขาทั้งหลายได้ทำรูปโคหนุ่ม และได้นำเครื่องสัตวบูชามาถวายแก่รูปนั้น และมีใจยินดีในสิ่งซึ่งมือของตนเองได้ทำขึ้น
7:42 แต่พระเจ้าทรงหันพระพักตร์ไปเสียและปล่อยให้เขานมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งศาสดาพยากรณ์ว่า ‘โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าสัตว์บูชาเราและถวายเครื่องบูชาให้แก่เราในถิ่นทุรกันดารถึงสี่ สิบปีหรือ
7:43 แล้วเจ้าทั้งหลายได้หามพลับพลาของพระโมเลค และได้เอาดาวพระเรฟาน รูปพระที่เจ้าได้กระทำขึ้นเพื่อกราบนมัสการรูปนั้นต่างหาก เราจึงจะกวาดเจ้าทั้งหลายให้ไปอยู่พ้นเมืองบาบิโลนอีก’
7:44 บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีพลับพลาแห่งสักขีพยาน ตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้เมื่อตรัสกับโมเสสว่าให้ทำพลับพลาตามแบบที่ได้เห็น
7:45 ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับพลับพลานั้นจึงขนตามเยซูไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา พลับพลานั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยดาวิด
7:46 ดาวิดนั้นมีความชอบจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า และมีใจปรารถนาที่จะหาพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ
7:47 แต่ซาโลมอนเป็นผู้ได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระองค์
7:48 ถึงกระนั้นก็ดี องค์ผู้สูงสุดหาได้ประทับในพระวิหารซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ไม่ ตามที่ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่า
7:49 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา และแผ่นดินโลกเป็นแท่นรองเท้าของเรา เจ้าจะสร้างนิเวศอะไรสำหรับเรา หรือที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
7:50 สิ่งเหล่านี้มือของเราได้กระทำทั้งสิ้น มิใช่หรือ’
7:51 ท่านคนชาติดื้อรั้น ที่ใจและหูไม่เข้าสุหนัต ท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอย่างนั้นด้วย
7:52 มีใครบ้างในพวกศาสดาพยากรณ์ซึ่งบรรพบุรุษของท่านมิได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าบรรดาคนที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาขององค์ผู้ชอบธรรม ซึ่งท่านทั้งหลายเป็นผู้ทรยศและผู้ฆาตกรรมพระองค์นั้นเสีย
7:53 คือท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับพระราชบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่หาได้รักษาพระราชบัญญัตินั้นไม่”
7:54 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกบาดใจ และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน
7:55 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นสง่าราศีของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า
7:56 แล้วท่านได้กล่าวว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า”
7:57 แต่เขาทั้งปวงร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปยังสเทเฟน
7:58 แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟนได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชาย หนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล
7:59 เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟนเมื่อกำลังอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอทรงโปรดรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย”
7:60 สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป

 

(ข้อ 1-50) สเทเฟนกล่าวลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ว่า พระองค์ทรงตั้งต้นและดำเนินสิ่งต่างๆ อย่างไร  จากเริ่มแรกจวบจนปัจจุบัน เป็นการกล่าวเกริ่นนำ เพื่อประกาศถึงพระนามพระเยซูคริสต์ ว่า … พระเจ้าทรงมีแผนการณ์อย่างไรในแต่ละบุคคลในอดีต ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกเขาเอง เป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่พวกเขาต่างเชื่อเหมือนกัน ความเชื่อเดียวกัน

การประกาศเช่นนี้เป็นการบ่งบอกว่า ทั้งสเทเฟน และบรรดาสมาชิกสภาที่จับกุมสเทเฟนมา ต่างก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน นามเดียวกัน เป็นการเรียกร้องให้กลับมาเป็นหนี่งเดียวกัน ในขณะที่พวกเขากำลังยุยงและทำให้เกิดความแตกแยก … แท้จริงแล้ว ไม่มีเหตุใดเลย ที่จะเป็นเหตุทำให้ผู้เชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกันต้องแตกแยกกัน
การที่สเทเฟนสามารถกล่าวอ้างอิงถึงประวัติศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ กระชับตรงตามเนื้อหาหลัก แสดงให้เห็นถึงความรู้ความสามารถของสเทเฟนว่ามีพื้นฐานและความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างดี

 

(ข้อ 51-53) สเทเฟนกล่าวโทษบรรดาสมาชิกสภา ว่า … เป็นคนหัวแข็งดื้อดึง กี่รุ่นต่อกี่รุ่น สิ่งที่ผิดพลาดในอดีตไม่ได้เป็นบทเรียนให้พวกเขาเลย แต่พวกเขากลับเดินตามความผิดพลาดเดิมๆ ของบรรพบุรุษ ต่อต้านการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มายุคแล้วยุคเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า จวบจนกระทั่งถึงขนาดฆ่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อหยุดยั้งการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท้ายที่สุดพระเยซูก็เป็นคนล่าสุดที่พวกเขาฆ่าที่กางเขน

สเทเฟนต่อว่าพวกสมาชิกสภา …ว่า… รู้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า รู้ทั้งแหล่งที่มา รู้ทั้งตัวอักษร แต่ก็ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามเลย เป็นการตัดพ้อต่อว่าอย่างตรงไปตรงมา หวังให้ตาสว่าง แต่กลับยิ่งบรรดาลโทสะ ความเดือดดาลยิ่งๆ ขึ้น การเข่นฆ่าผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าใช้มา ไม่ได้หยุดลงตรงนั้น … เมื่อสเทเฟนกล่าวชัดเจนเช่นนั้น แทนที่จะเป็นการกล่าวโทษที่ทำให้พวกเขาตาสว่างจากเนื้อแท้ของบาป  กลับทำให้พวกเขาเร่งกันฆ่า สเทเฟนทิ้งเสียอีกคนหนึ่ง (ข้อ 54)

 

(ข้อ 55-56 , 59-60) สเทเฟน ไม่ได้เพ่งความสนใจของตนเองไปที่สภาพรอบด้าน… การยั่วยุ การเดือดดาล การมุ่งร้าย… แต่เขากลับเพ่งมองเบื้องบน และเขาได้รับการสำแดงพระสิริ แห่งสวรรค์ต่อหน้าต่อตา

 

(ข้อ 57-58) สุดท้ายสเทเฟน ก็ถูกขว้างด้วยหินจนตาย  การตายของเขาเป็นการตายในการประกาศพระนามของพระเจ้าอย่างแท้จริง ปราศจากความผิดบาปทั้งสิ้น

 

แบบอย่างชีวิตของสเทเฟน

 

1.    เมื่อใครสักคนยืนหยัดในการเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลของการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏให้เห็นแล้ว *** ควรระลึกเสมอว่า เราต่างรับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน เราต่างร่วมกันทำแผนการณ์ของพระเจ้าในแต่ละส่วนให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ***  เป็นการดีเสียยิ่งกว่าใดๆ อย่าคิดว่าผู้ที่ไม่ได้ทำเหมือนตน ไม่ได้อยู่ร่วมทีมกับตน คิดต่างจากตน ทำต่างจากตน หรืออย่าคิดเพียงว่าตนเท่านั้นที่ถูก เพราะเราต่างรักพระเจ้า และกำลังยืนหยัดเดินติดตามพระเจ้าของตนอย่างสุดใจ สุดความสามารถ ไม่มีใครต่อสู้ใคร แต่ต่างเสริมสร้างกันจนครบบริบูรณ์ต่างหาก ในเมื่อพระเจ้าที่เราเชื่อ …คือ… พระเจ้าองค์เดียวกัน

 

2.    สเทเฟนมีใจกล้าหาญในการเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ทั้งรู้ว่า… หากยืนหยัดอย่างแข็งขัน ในสภาพที่ตกอยู่ในวงล้อมของสมาชิกสภาผู้มีอำนาจการเมืองอยู่ในมือ เขาอาจตายได้ แต่เขาไม่กลัวความตาย กลับใช้โอกาสนี้ในการประกาศพระนามพระเจ้าอย่างกล้าหาญชัดเจนแจ่มแจ้งเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นมีเซาโลผู้ซึ่งอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในอัครทูตรวมอยู่ด้วย

 

3.    สิ่งที่สเทเฟนตั้งใจตอบสนองพระเจ้าอย่างดีกลับเป็นแบบอย่างในอนาคตให้กับเปาโลได้… ในขณะที่เราตั้งใจเดินติดตามพระเจ้าของเราอย่างดี เราไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีผลต่อใคร ในเวลาใดบ้าง … แต่มันอาจเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งแรงบันดาลใจให้ใครสักคน โดยที่เราไม่รู้ตัวก็เป็นได้ แต่มีผลต่อแผ่นดินและแผนการณ์พระเจ้า

 

4.    การเพ่งสายตาของเราไปที่เบื้องบน ทำให้ไม่หวั่นไหวต่อสภาพรอบด้าน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะมีแรงต้านและแรงกดดันเพียงใดก็ตาม … แต่ตรงกันข้าม … ท่ามกลางสภาวะแบบนั้นพระเจ้าจะสำแดงแผ่นดินอันแสนสงบสุข ให้เราได้พักสงบและมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้า แน่นนอนท่ามกลางความว้าวุ่นตรงนั้น ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างสเทเฟน มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับ เพราะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สงบและเพ่งสายตาของตนไปที่เบื้องบน ทั้งนี้ใครก็ตามที่สามารถเพ่งสายตาของตนเองได้แบบนี้ ย่อมได้รับเช่นเดียวกับชายผู้นี้ ..สเทเฟน

 

Stephen Stoned Acts 7:57-60

 

21/09/2014 14:22

 

 

กจ.6:8-15 {การต่อต้านสเทเฟน}

 

6:8 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยความเชื่อและฤทธิ์เดช จึงกระทำการมหัศจรรย์และการอัศจรรย์ใหญ่ท่ามกลางประชาชน
6:9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลาที่เรียกว่า ธรรมศาลาของพวกลิเบระติน มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซีลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน
6:10 คนเหล่านั้นสู้สติปัญญาและน้ำใจของท่านเมื่อท่านกล่าวแก่เขาไม่ได้
6:11 เขาจึงลอบปลุกพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทต่อโมเสสและต่อพระเจ้า”
6:12 เขายุยงคนทั้งปวงและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ แล้วเข้ามาจับสเทเฟนและนำไปยังสภา
6:13 ให้พยานเท็จมากล่าวว่า “คนนี้พูดคำหมิ่นประมาทต่อสถานบริสุทธิ์นี้และพระราชบัญญัติไม่หยุดเลย
6:14 เพราะเราได้ยินเขาว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธนี้จะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา”
6:15 พวกสมาชิกสภาต่างเพ่งดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์

การต่อต้านสเทเฟน

 

(ข้อ 8) แม้คนที่ได้รับการคัดเลือกให้ทำงานด้านการบริหารจัดการ ก็สามารถไปได้ไกลในมิติฝ่ายวิญญาณ สามารถประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างมากเช่นกัน และสามารถมีฤทธิ์เดชและอัศจรรย์ได้อย่างมาก อันเนื่องมาจากการทำงานทุกตำแหน่ง เป็นเพียงบทบาทความรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดหรือจำกัด การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเขา หากเขายังคงดำเนินชีวิตในความเชื่อและเชื่อฟังอย่างมาก จะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และฤทธิ์เดชของพระองค์ได้อย่างมากเช่นเดียวกับ การทำงานด้านฝ่ายวิญญาณ

 

(ข้อ 9-14) การต่อต้านสเทเฟน เป็นลักษณะเดียวกันกับที่ศัตรูทำกับพระเยซู อันเกิดจากความอิจฉาริษยา ใส่ร้ายป้ายสี สร้างพยานเท็จ … เพียงแค่เพราะสเทเฟน เป็นที่ใช้การและเป็นคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเขาได้อย่างมากมาย

 

(ข้อ 15) แม้แต่พวกศัตรูที่จ้องจับผิดสเทเฟน ยังมองเห็นหน้าของเขาเป็นทูตสวรรค์เลย
พระเจ้าสามารถสำแดงให้ศัตรูได้เห็นต่อหน้าต่อตา ถึงพระสิริของพระองค์ที่ปกคลุมคนของพระองค์ แต่ถึงกระนั้นใจของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนลง ยังคงแข็งกระด้างต่อไป (ในบทที่ 7)

 

ข้อคิด >> การรักษาชีวิตกับพระเจ้าและสัตย์ซื่อในการขะมักเขม้นเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นปกติที่หมายสำคัญการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นผ่านชีวิตของเรา อีกทั้งผู้ที่ต่อต้านเองก็ไม่สามารถหาผิดในเราได้ นอกเสียจากบิดเบือนความจริงและสิ่งที่พระเจ้าทำตามความต้องการของเขา แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ได้เห็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านเรา ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ต่อหน้าต่อตาเขาเอง เป็นการดีเสียอีกที่แม้แต่ศัตรูก็ยังได้เห็นพระเจ้าในเรา เป็นการสำแดงพระเกียรติของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่เกินมือมนุษย์กระทำเอง

 

1380777074-js1-o1

140914

 

 

กจ.5:1-11 {อานาเนียกับสัปฟีรา}

 

5:1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน
5:2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก
5:3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
5:4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
5:5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
5:6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
5:7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
5:8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
5:9 เปโตรจึงถามนางว่า “ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”
5:10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
5:11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น

อานาเนียกับสัปฟีรา

1.    (2 , 8-9) แบบอย่างไม่ดีของการส่งเสริมกันในทางที่ผิดของสามีภรรยา
อานาเนียผู้เป็นสามี เป็นคนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้กับตัว เป็นคนริเริ่มในแผนนั้นก็จริง แต่การเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยา เป็นกายเดียวกัน ต้องมีการห้ามปราม ตักเตือน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทำผิดต่อพระเจ้า เพื่อไม่ให้การลงโทษมาถึงยกครัวเรือน เหตุการณ์นี้เขาตายทั้งคู่ พวกเขาร่วมกันในการโกหกและยักยอกในส่วนของพระเจ้า เทียบได้กับเหตุการณ์เมืองอัยที่อาคานยักยอกของๆ พระเจ้า ทำให้ชนทั้งชาติพ่ายแพ้ศัตรู

ยชว.7:10-26
7:10 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
7:11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
7:12 เพราะฉะนั้นคนอิสราเอลจึงยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของตนไม่ได้ ได้หันหลังหนีต่อหน้าศัตรู เพราะเขากลายเป็นสิ่งที่ถูกสาปแช่ง เราจะไม่อยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะทำลายสิ่งของที่ถูกสาปแช่งเหล่านั้นเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า
7:13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่ง นั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
7:14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
7:15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
7:16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ทรงถูกเลือก
7:17 จึงนำครอบครัวของยูดาห์เข้ามา และทรงเลือกครอบครัวเศ-ราห์ และนำครอบครัวเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีทรงถูกเลือก
7:18 และนำครัวเรือนของท่านเข้ามาทีละคน และคนที่ทรงถูกเลือกคืออาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์
7:19 และโยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล และจงสารภาพต่อพระองค์ และจงบอกข้ามาว่าเจ้าได้กระทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าเลย”
7:20 และอาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริงแล้วที่ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าได้กระทำดังนี้
7:21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
7:22 ฝ่ายโยชูวาก็ให้ผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ ดูเถิด ของนั้นซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง
7:23 เขาก็เอาออกมาจากกลางเต็นท์นำไปให้โยชูวาและคนอิสราเอลทั้งปวง แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
7:24 และโยชูวากับบรรดาคนอิสราเอลจึงพาอาคานบุตรชายเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะแกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดไปยังหุบเขาอาโคร์
7:25 และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความยากร้ายมาให้เรา พระเยโฮวาห์จะทรงนำความยากร้ายมาถึงเจ้าในวันนี้” และบรรดาคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาเขาทั้งหลายด้วยไฟ เมื่อขว้างเขาด้วยก้อนหินแล้ว
7:26 แล้วเอาหินถมกองทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์

ข้อคิด >> สามีภรรยา ต้องคอยตักเตือนกันให้เดินอย่างถูกต้องในทางของพระเจ้า ไม่ส่งเสริมกันในทางที่ผิด ด้วยการเป็นกายเดียวกันจึงต้องรับผิดชอบในกันและกัน
>> การโกหกและยักยอกนี้ เขาทำต่อพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนให้ทุกคนนำของมาถวายเป็นของกลาง การทำงานและการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จึงอยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ การยักยอกเงินส่วนนี้ คือ การยักยอกพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ไม่ใช่เพียงแต่คดโกงมนุษย์

 
2.    (3-4 , 8) เงินอยู่ในมือของมนุษย์
แท้จริงสิทธิในการถวายเป็นของเรา เพราะไม่ว่าจะเงินหรือทรัพย์สินที่พระเจ้ามอบให้เรา มันก็เป็นสิทธิการครอบครองที่พระเจ้าให้กับเรา แต่อานาเนียและสัปฟีราโกหกว่า “ขายได้เงินเท่านี้” แสดงให้เห็นว่า
–    เขาตั้งใจยักยอกส่วนต่างเอาไว้ใช้เอง จึงทำให้เขาโกหก
–    ที่เขาโกหกนั้น ไม่เพียงโกหกมนุษย์ แต่ยังโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางชุมชนด้วย เขาไม่ได้ตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ที่นั่น เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยำเกรง ไม่เกรงกลัว ไม่ให้เกียรติต่อการทรงสถิตย์อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้น
–    การบอกว่าขายได้เท่านี้ แล้วถวายให้หมดเท่าที่ขายได้ = จะเอาหน้าว่าตนเองบริสุทธิ์ ดูดี มอบให้พระเจ้าหมด แต่แท้จริงคือ ยักยอกเอาไว้แล้ว … พระเจ้าไม่เคยต่อว่าเราเรื่องจำนวนมากหรือน้อย แต่การโกหกให้ตนเองดูดีทั้งที่ความจริงตรงข้าม เป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติและไม่สนใจการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อคิด >> เรามีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะถวายเท่าไร การถวายมากน้อย ไม่มีผลต่อการลงโทษในครั้งนี้ แต่การที่เขาโกหกทุกคนโดยไม่คำนึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดการลงโทษถึงตาย
>> อย่ายอมให้เงิน หรือผลประโยชน์ ทำให้เราต้องปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่จะได้รับพระพรทั้งที่ถวายออก กลับต้องตายเพราะหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

*** ยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานและเคลื่อนไปในทิศทางใด แบบใด เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราต้องให้เกียรติพระองค์ในการทำงานด้านนั้นๆ ส่วนนั้นๆ เพราะนั่นคือ การทำงานของพระเจ้าเองโดยตรง หากหมิ่นประมาทพระองค์ด้วยการไม่ใส่ใจ หรือทำบางสิ่งที่ดูหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่พระพร จึงกลับกลายเป็นคำแช่งสาป***

 

18_07May2013020839_1

 

310814

 

 

กจ.4:32-37 {ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง}

 

4:32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง
4:33 อัครสาวกจึงเป็นพยานด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่งถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน
4:34 และในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย และได้นำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมา
4:35 วางไว้ที่เท้าของอัครสาวก อัครสาวกจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามที่ต้องการ
4:36 ฝ่ายโยเสส ที่อัครสาวกเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส
4:37 มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก

 

ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง

♥ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างมีส่วนในการแบ่งปัน ช่วยเหลือกันและกัน จึงทำให้ไม่มีใครสักคนขาด
เนื่องจากหมายสำคัญการอัศจรรย์ทำให้ปลดปล่อยผู้คนจากโรคที่พวกเขาเป็น  บางคนเคยเป็นขอทานเพราะร่างกายผิดปกติ ตาบอด เป็นง่อย แต่เมื่อได้รับการรักษา พวกเขาไม่สามารถประกอบอาชีพแบบนั้นได้อีก จึงขาดรายได้ยังชีพ การช่วยเหลือกันเพื่อจะเห็นคนได้เดินกับพระเจ้า ต่างคนต่างอยากเทออก เพราะอย่างเห็นพระหัตถ์พระเจ้าทำต่อไปเรื่อยๆ

♥ สัมยก่อนพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้า ใครก็ออกไปเก็บกินได้  แต่ในสมัยอัครทูตเงินตราเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพแล้ว ดังนั้นทุกคนต่างสมัครใจช่วยเหลือกัน จนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จนเป็นเหมือนค่านิยมหนึ่งเกิดขึ้น คือ… ใครมีอะไรก็เทออก ก็มอบให้ผู้อื่น การอวยพระพรของพระเจ้าจึงมาถึงแบบไม่มีใครขาดเลย ยิ่งให้ยิ่งได้รับ

กจ 20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย และให้ระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า `การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'”

73
240814