Category Archives: บทเรียนวันสะบาโต

กจ.6:8-15 {การต่อต้านสเทเฟน}

 

6:8 ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยความเชื่อและฤทธิ์เดช จึงกระทำการมหัศจรรย์และการอัศจรรย์ใหญ่ท่ามกลางประชาชน
6:9 แต่มีบางคนมาจากธรรมศาลาที่เรียกว่า ธรรมศาลาของพวกลิเบระติน มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซีลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาไล่เลียงกับสเทเฟน
6:10 คนเหล่านั้นสู้สติปัญญาและน้ำใจของท่านเมื่อท่านกล่าวแก่เขาไม่ได้
6:11 เขาจึงลอบปลุกพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทต่อโมเสสและต่อพระเจ้า”
6:12 เขายุยงคนทั้งปวงและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ แล้วเข้ามาจับสเทเฟนและนำไปยังสภา
6:13 ให้พยานเท็จมากล่าวว่า “คนนี้พูดคำหมิ่นประมาทต่อสถานบริสุทธิ์นี้และพระราชบัญญัติไม่หยุดเลย
6:14 เพราะเราได้ยินเขาว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธนี้จะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา”
6:15 พวกสมาชิกสภาต่างเพ่งดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์

การต่อต้านสเทเฟน

 

(ข้อ 8) แม้คนที่ได้รับการคัดเลือกให้ทำงานด้านการบริหารจัดการ ก็สามารถไปได้ไกลในมิติฝ่ายวิญญาณ สามารถประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างมากเช่นกัน และสามารถมีฤทธิ์เดชและอัศจรรย์ได้อย่างมาก อันเนื่องมาจากการทำงานทุกตำแหน่ง เป็นเพียงบทบาทความรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดหรือจำกัด การทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเขา หากเขายังคงดำเนินชีวิตในความเชื่อและเชื่อฟังอย่างมาก จะประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และฤทธิ์เดชของพระองค์ได้อย่างมากเช่นเดียวกับ การทำงานด้านฝ่ายวิญญาณ

 

(ข้อ 9-14) การต่อต้านสเทเฟน เป็นลักษณะเดียวกันกับที่ศัตรูทำกับพระเยซู อันเกิดจากความอิจฉาริษยา ใส่ร้ายป้ายสี สร้างพยานเท็จ … เพียงแค่เพราะสเทเฟน เป็นที่ใช้การและเป็นคนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในเขาได้อย่างมากมาย

 

(ข้อ 15) แม้แต่พวกศัตรูที่จ้องจับผิดสเทเฟน ยังมองเห็นหน้าของเขาเป็นทูตสวรรค์เลย
พระเจ้าสามารถสำแดงให้ศัตรูได้เห็นต่อหน้าต่อตา ถึงพระสิริของพระองค์ที่ปกคลุมคนของพระองค์ แต่ถึงกระนั้นใจของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนลง ยังคงแข็งกระด้างต่อไป (ในบทที่ 7)

 

ข้อคิด >> การรักษาชีวิตกับพระเจ้าและสัตย์ซื่อในการขะมักเขม้นเดินตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นปกติที่หมายสำคัญการอัศจรรย์จะเกิดขึ้นผ่านชีวิตของเรา อีกทั้งผู้ที่ต่อต้านเองก็ไม่สามารถหาผิดในเราได้ นอกเสียจากบิดเบือนความจริงและสิ่งที่พระเจ้าทำตามความต้องการของเขา แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ได้เห็นอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำผ่านเรา ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ต่อหน้าต่อตาเขาเอง เป็นการดีเสียอีกที่แม้แต่ศัตรูก็ยังได้เห็นพระเจ้าในเรา เป็นการสำแดงพระเกียรติของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่เกินมือมนุษย์กระทำเอง

 

1380777074-js1-o1

140914

 

 

กจ.6:1-7 {การเลือกทีมงานด้านบริหารจัดการ}

 

6:1 ในคราวนั้น เมื่อศิษย์กำลังทวีมากขึ้น พวกกรีกบ่นติเตียนพวกฮีบรูเพราะในการแจกทานทุก ๆ วันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกหญิงม่ายชาวกรีก
6:2 ฝ่ายอัครสาวกทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ให้มาหาเขาแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็หาควรไม่
6:3 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาไว้ดูแลการงานนี้
6:4 ฝ่ายพวกเราจะขะมักเขม้นอธิษฐานและสั่งสอนพระวจนะเสมอไป”
6:5 คนทั้งหลายเห็นชอบกับคำนี้ จึงเลือกสเทเฟน ผู้ประกอบด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นผู้เข้าจารีตฝ่ายศาสนายิว
6:6 คนทั้งเจ็ดนี้เขาให้มาอยู่ต่อหน้าพวกอัครสาวก และเมื่อพวกอัครสาวกได้อธิษฐานแล้ว จึงได้วางมือบนเขา
6:7 การประกาศพระวจนะของพระเจ้าได้เจริญขึ้น และจำพวกศิษย์ก็ทวีขึ้นเป็นอันมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตเป็นอันมากก็ได้เชื่อฟังในความเชื่อนั้น

 

การเลือกทีมงานด้านบริหารจัดการ

(ข้อ 1) ในสมัยก่อนยิวมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ยิวที่เชื่อแบบกรีก และ ยิวที่เชื่อแบบยิว ทำให้เกิดการแบ่งแยกกัน ความแตกต่างในรายละเอียดของ ธรรมเนียมปฏิบัติ และแนวคิด แนวปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ ย่อมส่งผลต่อความเข้าใจที่แตกต่างกันไปบ้าง เนื่องจากผู้คนหลั่งไหลกันมาเชื่อถือพระเจ้าในนามพระเยซูคริสต์มากขึ้น ความแตกต่างที่ปะปนกัน ก่อให้เกิดความวุ่นวายกันบ้างในเชิงปฏิบัติงาน เพราะต่างคนต่างที่มา หลากหลายแหล่ง หลากหลายความคิดเห็น ความต้องการ

 

(ข้อ 2 , 4) พวกอัครสาวก มองเห็นปัญหาที่จำเป็นต้องมีการจัดระบบระเบียบ เพื่อให้การอยู่ร่วมกันของคนหมู่มากเป็นไปอย่างสงบ และเท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยก จึงมีการเสนอให้แยกงานส่วนบริหารจัดการออกจากงานฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะไม่มัวหลงประเด็นอยู่กับการจัดการงานบริหารจนกระทั่งหลงลืมสิ่งที่พระเยซูตรัสสั่งและสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังเคลื่อนไหว พวกอัครสาวกตระหนักเป็นอย่างมากว่าเรื่องความเป็นอยู่และการช่วยเหลือผู้คนก็สำคัญ แต่ไม่ใช่งานหลัก งานหลักที่สำคัญ คือ การเคลื่อนและเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า

ข้อคิด >> เราควรระมัดระวังและหมั่นสำรวจเสมอว่า แท้จริงแล้วเรากำลังดำเนินอยู่ในน้ำพระทัยหลักที่พระเจ้าให้เราทำอยู่หรือเปล่า หรือว่าเราหลงประเด็นไปกับสภาพปัญหาที่แวดล้อมจนกระทั่งไม่ได้ทำสิ่งที่พระเจ้าเรียกอย่างแท้จริง หรือลดทอนน้ำหนักที่เราควรทำอย่างแท้จริง

 

(ข้อ 3 , 5-6) การคัดเลือกคนทำงานบริหาร ให้คัดเลือกจากคุณสมบัติดังนี้

♥    มีชื่อเสียงดี >> อันเนื่องจากต้องดูแลบริการจัดการคนจำนวนมาก การมีชื่อเสียงดี ทำให้เกิดการยอมรับ การร่วมมือได้อย่างง่าย เพราะเป็นที่ยอมรับและผ่านการพิสูจน์จนกระทั่งคนทั่วๆ ไป เห็นพ้องต้องกันแล้วระดับหนึ่ง

♥    ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ >> เนื่องจากคนที่ทำงานด้านบริหารจัดการ ทำหน้าที่แทนและคอยประสานงานกับพวกอัครสาวกที่ต้องทำงานฝ่ายวิญญาณด้านการอธิษฐานสั่งสอน (4) ดังนั้นการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน การมีแนวคิดและการเคลื่อนไปกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ร่วมกัน แม้จะแตกต่างบทบาท จะทำให้งานของพระเจ้าเคลื่อนไป แบบไม่ฉุดรั้งงานฝ่ายวิญญาณ ไม่ฉุดรั้งกันและกัน แต่ส่งเสริมกันและกัน เพราะการจัดตั้งงานบริหารจัดการ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อช่วยสนับสนุนงานฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นจึงต้องเลือกคนที่มีคุณสมบัติเดียวกันในการประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นจะไม่ต่างกับองค์กรทั่วๆ ไป

♥    มีสติปัญญาในการดูแลรับผิดชอบงาน >> เนื่องจากจำนวนคนมาก การบริหารจัดการสิ่งต่างๆ ให้ลงตัวต่อทุกฝ่ายเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อลดความตึงเครียดในความแตกแยกลงมากที่สุด

 

(ข้อ 6) อันเนื่องจากการจัดตั้งทีมงานด้านบริหารจัดการ ในสมัยนั้นก็มีการแสวงหาพระเจ้าให้พระเจ้านำและเป็นผู้เลือก จึงมีธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆ กันมา เรื่องการวางมือเจิมแต่งตั้ง เพื่อ

♥    ประกาศให้คนทั่วๆ ไปรับรู้ถึงสิทธิอำนาจที่ได้มอบไว้บนคนเหล่านี้
♥    เป็นการประกาศแต่งตั้ง ว่า คนเหล่านี้ได้รับการยอมรับจาก อัครสาวกแล้ว ให้เป็นตัวแทนและผู้ดำเนินการแทนด้านงานบริหารจัดการ เป็นผู้ที่ทุกคนสามารถเข้ามาหารือปรึกษาได้ในเรื่องงานทั่วๆ ไป
♥    เป็นการอวยพระพรให้พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้ ให้ทำงานด้านนี้ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

 

(ข้อ 7) เมื่อจัดการทุกอย่างอย่างลงตัว ทุกคนได้ประจำจุดและตำแหน่งที่พระเจ้าวางไว้ ทั้งงานฝ่ายวิญญาณและงานบริหารจัดการ จะทำให้เกิดผลอย่างมาก อันเนื่องจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน

 

index่ยว

 

140914

 

 

กจ. 5:12–42 {ยืนหยัดเพื่อพระคริสต์นำการฟื้นฟู}

 

5:12 มีหมายสำคัญและการมหัศจรรย์หลายอย่างซึ่งอัครสาวกได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน (พวกสาวกอยู่พร้อมใจกันในเฉลียงของซาโลมอน
5:13 และคนอื่น ๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก
5:14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าก่อน)
5:15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน
5:16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมาและทุกคนก็หาย
5:17 ฝ่ายมหาปุโรหิตและพรรคพวกของท่านก็ลุกขึ้น (คือพวกสะดูสี) มีความโกรธอย่างยิ่ง
5:18 จึงได้จับพวกอัครสาวกจำไว้ในคุกหลวง
5:19 แต่ในเวลากลางคืน ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้มาเปิดประตูคุก พาอัครสาวกออกไป บอกว่า
5:20 “จงไปยืนในพระวิหาร ประกาศบรรดาข้อความแห่งชีวิตนี้ให้ประชาชนฟัง”
5:21 เมื่ออัครสาวกได้ยินอย่างนั้น พอเวลารุ่งเช้าจึงเข้าไปสั่งสอนในพระวิหาร ฝ่ายมหาปุโรหิตกับพรรคพวกของท่านได้เรียกประชุมสภา พร้อมกับบรรดาผู้เฒ่าทั้งหมดของชนอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครสาวกออกมา
5:22 แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปถึงก็ไม่พบพวกอัครสาวกในคุก จึงกลับมารายงาน
5:23 ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นคุกปิดอยู่มั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่ข้างนอกหน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”
5:24 ตอนนี้เมื่อมหาปุโรหิตและนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกปุโรหิตใหญ่ ได้ยินคำเหล่านี้ ก็ฉงนสนเท่ห์ในเรื่องของอัครสาวกว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
5:25 แล้วมีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “ดูเถิด คนเหล่านั้น ซึ่งท่านทั้งหลายได้จำไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนคนทั้งปวงอยู่ในพระวิหาร”
5:26 แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงานจึงได้ไปพาพวกอัครสาวกมาโดยดี เพราะกลัวว่าคนทั้งปวงจะเอาหินขว้าง
5:27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครสาวกมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตจึงถาม
5:28 ว่า “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็ดูเถิด เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยโลหิตของผู้นั้นตกอยู่กับเรา”
5:29 ฝ่ายเปโตรกับอัครสาวกอื่น ๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์
5:30 พระเยซูซึ่งท่านทั้งหลายได้ฆ่าเสียโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้ทรงบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่
5:31 พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้ด้วยพระหัตถ์เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นเจ้าชาย และองค์พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อจะให้ชนอิสราเอลกลับใจใหม่ แล้วจะทรงโปรดยกความผิดบาปของเขา
5:32 เราทั้งหลายจึงเป็นพยานของพระองค์ถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย”
5:33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ ก็รู้สึกบาดใจ คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครสาวกเสีย
5:34 แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นธรรมาจารย์ฝ่ายพระราชบัญญัติ เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาแล้วสั่งให้พาพวกอัครสาวกออกไปเสียภายนอกครู่หนึ่ง
5:35 ท่านจึงได้กล่าวแก่เขาว่า “ท่านชนชาติอิสราเอล ซึ่งท่านหวังจะทำแก่คนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี
5:36 เมื่อคราวก่อนมีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าเสีย คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป
5:37 ภายหลังผู้นี้มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้เกลี้ยกล่อมผู้คนให้ติดตามตัวไปเป็นอันมาก ผู้นั้นก็พินาศด้วย และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป
5:38 ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงว่าแก่ท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าทำอะไรแก่เขาเลย เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง
5:39 แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือกว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า”
5:40 เขาทั้งหลายจึงยอมเห็นด้วยกับกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครสาวกเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนและกำชับไม่ให้ออกพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยไป
5:41 พวกอัครสาวกจึงออกไปให้พ้นหน้าสภาด้วยความยินดีที่เห็นว่า ตนสมจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามของพระองค์นั้น
5:42 ที่ในพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ทุก ๆ วันมิได้ขาด

ยืนหยัดเพื่อพระคริสต์นำการฟื้นฟู

(ข้อ 12-16)  ยิ่งสาวกทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ยิ่งทำงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ มีการอัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ เพียงเงาของเปโตรเดินผ่านก็หายโรคได้ สิ่งที่พระเจ้าทำ แล้วร่วมมือกับพระเจ้า ส่งผลให้ผู้คนต่างมาเชื่อกันมากมาย
*** การทำงานของพระเจ้า ไม่เคยไล่คนให้ออกไป มีแต่เรียกคนเข้ามา

 

(ข้อ 17-18)  แม้ผู้ทำอัศจรรย์ คือ พระเจ้าที่เป็นคนเลือก เหล่าอัครฑูต ได้กระทำหมายสำคัญต่างๆ แต่เหล่าปุโรหิต ก็ยังรู้สึกอิจฉา เหล่าอัครฑูต และจับพวกเขาขังไว้

***ข้อคิด >> อย่าเป็นอย่าง สะดูสี ที่อิจฉา คนที่ทำการงานของพระเจ้า แทนที่จะชื่นชม ให้เกียรติ กลับกลั่นแกล้ง จับไปขังทั้งๆ ที่ไม่มีความผิด ซึ่งการทำแบบนี้ …. เบื้องหลังคือการไม่ให้เกียรติพระเจ้า

 

(ข้อ 19-20) แต่กลุ่ม อัครฑูต ก็ยังเห็นการรับรองจากพระเจ้า คือ ฑูตสวรรค์ มาเปิดประตูคุกให้ และยังบอกให้กลับไปประกาศคำพยานเหมือนเดิม

 

(ข้อ 21) อัครฑูต ก็ยังทำตามที่ พระเจ้าสั่งไม่เกรงกลัวว่าจะถูกจำคุกอีก

 

(ข้อ 22-26) กลุ่มเจ้าหน้าที่ จะไปรับตัวอัครฑูต แต่ก็ไม่พบพวกเขาแล้ว เห็นอีกที ก็ที่ลานพระวิหาร เขาไปจับมาอีก … แม้มนุษย์จะกักขัง แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ปลดปล่อยอิสระภาพเอง

 

(ข้อ 27-28) กลุ่ม ปุโรหิต ไม่ได้ห่วงอะไร นอกจากหน้าตาของตัวเองเท่านั้น ทั้งๆ ที่เห็นว่าพระเจ้าทำหลายสิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา (ซึ่งเป็นที่แน่แท้ว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำด้วยพระองค์เอง ใครหรือ?? จะเปดประตูคุกได้ทั้งที่มียามหนาแน่น และยามเองก็ไม่รู้ตัวด้วยว่าพวกอัครทูตออกไปตั้งแต่เมื่อไร อย่างไร) แต่เพียงเพราะว่า ไม่ต้องการรับผิด ที่มีส่วนทำให้ พระเยซูถูกตรึง ทำให้ ต้องหาทางขัดขวาง อัครฑูตทุกวิถีทาง

***ข้อคิด >> หากรู้ตัวว่าทำผิด แค่กลับใจใหม่ หันหลังให้กับความผิดพลาด และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่หากไม่ยอมรับผิด กลับกลายจะเป็นผิดยิ่งกว่าเก่า ลึกเข้าไปอีก ผิดต่อยอดผิด บานปลาย

 

(ข้อ 29-32) เปโตร ยังคงยืนหยัด ที่จะประกาศเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และยืนยันที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์

 

(ข้อ 33 -39) ฟาริสี โกรธจัด ต้องการจะฆ่ากลุ่มอัครฑูตอีก (ทำความผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ยอมกลับใจ) แต่ ยังมีฟาริสีชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ห้ามไว้ และเตือนด้วยว่า ถ้าสิ่งที่อัครฑูตทำมาจากพระเจ้าจริง กลุ่มปุโรหิต จะกลายเป็นผู้ต่อสู้กับพระเจ้าเอง >> แสดงให้เห็นว่า แท้จริงบรรทัดฐานในการเดินกับพระเจ้าคือพระธรรมที่มีอยู่แล้ว เพียงแต่ใครจะยึดถือและเดินตามมากเพียงใด แม้ฟาริสีเองก็รู้เรื่องเหล่านี้เช่นกัน แถมรู้ดีเสียด้วย

 

(ข้อ 40) ถึงกระนั้น ฟาริสี ก็ยัง สั่งโบย อัครฑูตอีก ยังกลั่นแกล้งจนถึงที่สุด เพื่อแสดงอำนาจที่มีอยู่ในมือ ฟาริสีต้องการทำให้สาวกหลาบจำ แต่พวกเขากลับยิ่งทำให้พระนามพระเจ้าไปไกล ด้วยหมายสำคัญที่พระเจ้าทำกับสาวกที่ถูกข่มเหง … บางครั้งการข่มเหง ไม่ได้หยุดยั้งสิ่งที่พระเจ้าทำ แต่กลับยิ่งส่งเสริมให้อัศจรรย์แห่งการช่วยกู้ของพระเจ้าที่มีมาถึงคนของพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น (เทียบเหตุการณ์ โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ต่อหน้าฟาโรห์ , โมเสส = อัครทูต , อียิปต์ = สิ่งที่พวกเขายึดติด , ฟาโรห์ = ฟาริสี สะดูสี )

 

(ข้อ 41) ***สุดท้าย อัครฑูต ยังคงมีความชื่นชมยินดีแม้จะถูกข่มเห่งรังแก เพราะเค้าได้ยืนหยัดที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างสุดชีวิต

 

003-peter-john-arrested

 

070914

 

 

กจ.5:1-11 {อานาเนียกับสัปฟีรา}

 

5:1 แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราได้ขายที่ดินของตน
5:2 และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขายักเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก
5:3 ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เหตุไฉนซาตานจึงทำให้ใจของเจ้าเต็มไปด้วยการมุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้
5:4 เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้ามิใช่หรือ เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ มีเหตุอะไรเกิดขึ้นให้เจ้าคิดในใจเช่นนั้นเล่า เจ้ามิได้มุสาต่อมนุษย์แต่ได้มุสาต่อพระเจ้า”
5:5 เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งปวงได้ยินเรื่องก็พากันสะดุ้งตกใจกลัวอย่างยิ่ง
5:6 พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามเอาไปฝัง
5:7 หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเข้าไป
5:8 ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกเราเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นเจ้าค่ะ”
5:9 เปโตรจึงถามนางว่า “ไฉนเจ้าทั้งสองได้พร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า จงดูเถิด เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีของเจ้าก็อยู่ที่ประตู และเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”
5:10 ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง
5:11 ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น

อานาเนียกับสัปฟีรา

1.    (2 , 8-9) แบบอย่างไม่ดีของการส่งเสริมกันในทางที่ผิดของสามีภรรยา
อานาเนียผู้เป็นสามี เป็นคนเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้กับตัว เป็นคนริเริ่มในแผนนั้นก็จริง แต่การเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสามีภรรยา เป็นกายเดียวกัน ต้องมีการห้ามปราม ตักเตือน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งทำผิดต่อพระเจ้า เพื่อไม่ให้การลงโทษมาถึงยกครัวเรือน เหตุการณ์นี้เขาตายทั้งคู่ พวกเขาร่วมกันในการโกหกและยักยอกในส่วนของพระเจ้า เทียบได้กับเหตุการณ์เมืองอัยที่อาคานยักยอกของๆ พระเจ้า ทำให้ชนทั้งชาติพ่ายแพ้ศัตรู

ยชว.7:10-26
7:10 และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโยชูวาว่า “จงลุกขึ้นเถิด ไฉนเจ้าจึงซบหน้าลงดังนี้เล่า
7:11 คนอิสราเอลได้กระทำบาป เขาได้ละเมิดพันธสัญญาซึ่งเราได้บัญชาเขาไว้ เขาได้ยักยอกของที่ถูกสาปแช่ง เขาได้ขโมยและปิดบัง และได้เอาของรวมไว้กับข้าวของของตน
7:12 เพราะฉะนั้นคนอิสราเอลจึงยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของตนไม่ได้ ได้หันหลังหนีต่อหน้าศัตรู เพราะเขากลายเป็นสิ่งที่ถูกสาปแช่ง เราจะไม่อยู่กับเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป เว้นแต่เจ้าจะทำลายสิ่งของที่ถูกสาปแช่งเหล่านั้นเสียจากท่ามกลางพวกเจ้า
7:13 จงลุกขึ้นชำระประชาชนให้บริสุทธิ์และกล่าวว่า ‘จงชำระตัวเสียเพื่อวันพรุ่งนี้ เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนอิสราเอลกล่าวเช่นนี้ว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย มีสิ่งของที่ถูกสาปแช่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า เจ้าจะยืนหยัดต่อสู้ศัตรูของเจ้าไม่ได้จนกว่าเจ้าจะนำสิ่งของที่ถูกสาปแช่ง นั้นออกเสียจากหมู่พวกเจ้า”’
7:14 พอรุ่งเช้าเจ้าทั้งหลายจงเข้ามาทีละตระกูล ตระกูลใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ต้องเข้ามาทีละครอบครัว ครอบครัวใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ก็ให้เข้ามาทีละครัวเรือน ครัวเรือนใดที่พระเยโฮวาห์ทรงเลือกจับไว้ ก็ให้เข้ามาทีละคน
7:15 ผู้ใดถูกจับว่ามีของที่ถูกสาปแช่งนั้น ก็ต้องถูกเผาเสียด้วยไฟ ทั้งตัวเขาและสารพัดที่เป็นของเขา เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของพระเยโฮวาห์ และเพราะเขาได้กระทำความโง่เขลาในอิสราเอล”
7:16 โยชูวาจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และนำคนอิสราเอลเข้ามาทีละตระกูล และตระกูลยูดาห์ทรงถูกเลือก
7:17 จึงนำครอบครัวของยูดาห์เข้ามา และทรงเลือกครอบครัวเศ-ราห์ และนำครอบครัวเศ-ราห์มาทีละคน และศับดีทรงถูกเลือก
7:18 และนำครัวเรือนของท่านเข้ามาทีละคน และคนที่ทรงถูกเลือกคืออาคานบุตรชายคารมี ผู้เป็นบุตรชายศับดี ผู้เป็นบุตรชายเศ-ราห์ ตระกูลยูดาห์
7:19 และโยชูวาจึงกล่าวแก่อาคานว่า “ลูกเอ๋ย จงถวายสง่าราศีแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล และจงสารภาพต่อพระองค์ และจงบอกข้ามาว่าเจ้าได้กระทำอะไรไป อย่าปิดบังไว้จากข้าเลย”
7:20 และอาคานตอบโยชูวาว่า “เป็นความจริงแล้วที่ข้าพเจ้าได้กระทำบาปต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล ข้าพเจ้าได้กระทำดังนี้
7:21 ในหมู่ของที่ริบมาข้าพเจ้าได้เห็นเสื้อคลุมงามตัวหนึ่งของเมืองบาบิโลน กับเงินสองร้อยเชเขล และทองคำแท่งหนึ่งหนักห้าสิบเชเขล ข้าพเจ้าก็โลภอยากได้ของเหล่านั้น ข้าพเจ้าจึงเอามา ดูเถิด ของเหล่านั้นซ่อนอยู่ใต้ดินในเต็นท์ของข้าพเจ้า เงินนั้นอยู่ข้างล่าง”
7:22 ฝ่ายโยชูวาก็ให้ผู้สื่อสารออกไปและเขาทั้งหลายก็วิ่งไปที่เต็นท์ ดูเถิด ของนั้นซ่อนอยู่ในเต็นท์ของเขา มีเงินอยู่ข้างล่าง
7:23 เขาก็เอาออกมาจากกลางเต็นท์นำไปให้โยชูวาและคนอิสราเอลทั้งปวง แล้วเขาก็วางของเหล่านั้นลงต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์
7:24 และโยชูวากับบรรดาคนอิสราเอลจึงพาอาคานบุตรชายเศ-ราห์ พร้อมกับเงิน เสื้อคลุมตัวนั้น และทองแท่งนั้น ทั้งบุตรชายหญิงของเขา ทั้งวัว ลา แพะแกะ และเต็นท์ของเขา ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ และนำคนกับของทั้งหมดไปยังหุบเขาอาโคร์
7:25 และโยชูวากล่าวว่า “ทำไมเจ้าจึงนำความยากร้ายมาให้เรา พระเยโฮวาห์จะทรงนำความยากร้ายมาถึงเจ้าในวันนี้” และบรรดาคนอิสราเอลก็เอาหินขว้างเขาให้ตาย เผาเขาทั้งหลายด้วยไฟ เมื่อขว้างเขาด้วยก้อนหินแล้ว
7:26 แล้วเอาหินถมกองทับเขาไว้เป็นกองใหญ่ยังอยู่จนทุกวันนี้ และพระเยโฮวาห์ก็ทรงหันกลับจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์ เพราะฉะนั้นจนถึงทุกวันนี้เขายังเรียกที่นั้นว่าหุบเขาอาโคร์

ข้อคิด >> สามีภรรยา ต้องคอยตักเตือนกันให้เดินอย่างถูกต้องในทางของพระเจ้า ไม่ส่งเสริมกันในทางที่ผิด ด้วยการเป็นกายเดียวกันจึงต้องรับผิดชอบในกันและกัน
>> การโกหกและยักยอกนี้ เขาทำต่อพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนให้ทุกคนนำของมาถวายเป็นของกลาง การทำงานและการเคลื่อนไหวเรื่องนี้จึงอยู่ภายใต้พระวิญญาณบริสุทธิ์ การยักยอกเงินส่วนนี้ คือ การยักยอกพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ไม่ใช่เพียงแต่คดโกงมนุษย์

 
2.    (3-4 , 8) เงินอยู่ในมือของมนุษย์
แท้จริงสิทธิในการถวายเป็นของเรา เพราะไม่ว่าจะเงินหรือทรัพย์สินที่พระเจ้ามอบให้เรา มันก็เป็นสิทธิการครอบครองที่พระเจ้าให้กับเรา แต่อานาเนียและสัปฟีราโกหกว่า “ขายได้เงินเท่านี้” แสดงให้เห็นว่า
–    เขาตั้งใจยักยอกส่วนต่างเอาไว้ใช้เอง จึงทำให้เขาโกหก
–    ที่เขาโกหกนั้น ไม่เพียงโกหกมนุษย์ แต่ยังโกหกพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ท่ามกลางชุมชนด้วย เขาไม่ได้ตระหนักว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ที่นั่น เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยำเกรง ไม่เกรงกลัว ไม่ให้เกียรติต่อการทรงสถิตย์อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้น
–    การบอกว่าขายได้เท่านี้ แล้วถวายให้หมดเท่าที่ขายได้ = จะเอาหน้าว่าตนเองบริสุทธิ์ ดูดี มอบให้พระเจ้าหมด แต่แท้จริงคือ ยักยอกเอาไว้แล้ว … พระเจ้าไม่เคยต่อว่าเราเรื่องจำนวนมากหรือน้อย แต่การโกหกให้ตนเองดูดีทั้งที่ความจริงตรงข้าม เป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติและไม่สนใจการทำงานพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้อคิด >> เรามีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะถวายเท่าไร การถวายมากน้อย ไม่มีผลต่อการลงโทษในครั้งนี้ แต่การที่เขาโกหกทุกคนโดยไม่คำนึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดการลงโทษถึงตาย
>> อย่ายอมให้เงิน หรือผลประโยชน์ ทำให้เราต้องปฏิเสธการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่จะได้รับพระพรทั้งที่ถวายออก กลับต้องตายเพราะหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

*** ยุคที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานและเคลื่อนไปในทิศทางใด แบบใด เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราต้องให้เกียรติพระองค์ในการทำงานด้านนั้นๆ ส่วนนั้นๆ เพราะนั่นคือ การทำงานของพระเจ้าเองโดยตรง หากหมิ่นประมาทพระองค์ด้วยการไม่ใส่ใจ หรือทำบางสิ่งที่ดูหมิ่นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่พระพร จึงกลับกลายเป็นคำแช่งสาป***

 

18_07May2013020839_1

 

310814

 

 

กจ.4:32-37 {ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง}

 

4:32 คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดเป็นของกลาง
4:33 อัครสาวกจึงเป็นพยานด้วยฤทธิ์เดชใหญ่ยิ่งถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า และพระคุณอันใหญ่ยิ่งได้อยู่กับเขาทุกคน
4:34 และในพวกศิษย์ไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย และได้นำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมา
4:35 วางไว้ที่เท้าของอัครสาวก อัครสาวกจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามที่ต้องการ
4:36 ฝ่ายโยเสส ที่อัครสาวกเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส
4:37 มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่นั้นมาวางไว้ที่เท้าของอัครสาวก

 

ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง

♥ ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ต่างมีส่วนในการแบ่งปัน ช่วยเหลือกันและกัน จึงทำให้ไม่มีใครสักคนขาด
เนื่องจากหมายสำคัญการอัศจรรย์ทำให้ปลดปล่อยผู้คนจากโรคที่พวกเขาเป็น  บางคนเคยเป็นขอทานเพราะร่างกายผิดปกติ ตาบอด เป็นง่อย แต่เมื่อได้รับการรักษา พวกเขาไม่สามารถประกอบอาชีพแบบนั้นได้อีก จึงขาดรายได้ยังชีพ การช่วยเหลือกันเพื่อจะเห็นคนได้เดินกับพระเจ้า ต่างคนต่างอยากเทออก เพราะอย่างเห็นพระหัตถ์พระเจ้าทำต่อไปเรื่อยๆ

♥ สัมยก่อนพระเจ้าประทานมานาตกจากฟ้า ใครก็ออกไปเก็บกินได้  แต่ในสมัยอัครทูตเงินตราเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพแล้ว ดังนั้นทุกคนต่างสมัครใจช่วยเหลือกัน จนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จนเป็นเหมือนค่านิยมหนึ่งเกิดขึ้น คือ… ใครมีอะไรก็เทออก ก็มอบให้ผู้อื่น การอวยพระพรของพระเจ้าจึงมาถึงแบบไม่มีใครขาดเลย ยิ่งให้ยิ่งได้รับ

กจ 20:35 ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย และให้ระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า `การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ'”

73
240814

 

 

กจ.4:24-31 {ตัวอย่างคำอธิษฐานของสาวก}

 

4:24 เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้เป็นพระเจ้าซึ่งได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น
4:25 พระองค์ตรัสไว้ด้วยปากของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘เหตุใดชนต่างชาติจึงกระทำโกลาหลขึ้น และชนชาติทั้งหลายคิดอ่านในการที่ไร้ประโยชน์
4:26 บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตนเองขึ้น และนักปกครองชุมนุมกันต่อสู้องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ของพระองค์’
4:27 ความจริงทั้งเฮโรดและปอนทิอัสปีลาต กับพวกต่างประเทศ และชนชาติอิสราเอลได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว
4:28 ให้กระทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์ และพระดำริของพระองค์ได้กำหนดตั้งแต่ก่อนมาแล้วให้เกิดขึ้น
4:29 บัดนี้พระองค์เจ้าข้า ขอโปรดทอดพระเนตรการขู่ของเขา และโปรดประทานให้ผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า
4:30 เมื่อพระองค์ได้ทรงเหยียดพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรคให้หาย และได้โปรดให้หมายสำคัญกับการมหัศจรรย์บังเกิดขึ้น โดยพระนามแห่งพระเยซูพระบุตรผู้บริสุทธิ์ของพระองค์”
4:31 เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ

ตัวอย่างคำอธิษฐานของสาวก

1.    (24) กล่าวอ้างถึงพระลักษณะของพระเจ้า
2.    (25-26) อ้างถึงสิ่งที่ทรงทำ สิ่งที่เคยตรัส และเปิดเผย ในอดีต ไว้กับบรรพบุรุษ (หรือตัวเราเอง)
3.    (27-28) กล่าวถึงสภาพความจริงที่เป็น ณ ตอนนี้ >> เล็งถึงรายงานถึงความเป็นไปต่างๆ ให้พระเจ้าได้หันหน้ามายังจุดนี้
4.    (29-30) ขอการช่วยกู้ โดยอ้างถึงพระลักษณะ พระสัญญา และถ้อยคำของพระองค์
5.    (30) ขอให้พระองค์ทำงานผ่านตัวเราด้วยหมายสำคัญ และโดยพระนามของพระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำผ่านตัวเรา >> เป็นการร้องขอการทำงานของพระเจ้า เป็นการขอให้พระเจ้าเป็นผู้ลุกขึ้นทำการณ์นั้นเอง เป็นการอ้างสิทธิอำนาจของพระเยซูผู้ที่มีสิทธิขาดนั้น

 

***(31) เมื่อพวกเขาอธิษฐาน

  • ที่ประชุมหวั่นไหว = เกิดบางสิ่งขึ้นเพื่อเป็นการรับรองว่าพระเจ้าอยู่ด้วยกับผู้ที่อธิษฐาน (อาจเป็น หมายสำคัญ พระพร อาการ หรือสิ่งใดก็ตาม ที่ทำให้เรารับรู้ถึงการรับรองและอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์)

 

  • พวกเขาเต็มเปี่มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ = เต็มล้นในฝ่ายวิญญาณ , ได้รับการเติมเต็มในส่วนที่ขาดอยู่ เช่น ความเชื่อ ความวางใจ … , พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถทำงานในพวกเขาได้อย่างเต็มที่

 

  • กล่าวพระวจนะพระเจ้าด้วยความกล้าหาญ = มั่นใจในสัจจะ และสิ่งที่ทรงสัญญา เป็นการเรียกเคลมพระสัญญาด้วยการป่าวประกาศถ้อยคำของพระเจ้า ความกล้าหาญแทนที่ความหวาดกลัวและสิ่งที่ต้องเผชิญ อันเนื่องมาจากการเต็มล้นในพระวิญญาณบริสุทธิ์

 

biblehands.38202659

 

240814

 

 

กจ.4:1-23 {การต่อต้านการงานของพระเจ้าโดยคนของพระเจ้าที่ไม่ยอมตอบสนอง}

 

4:1 ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังกล่าวแก่คนทั้งปวงอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับนายทหารรักษาพระวิหารและพวกสะดูสีมาหาท่านทั้งสอง
4:2 ด้วยเขาเป็นทุกข์ร้อนใจ เพราะท่านทั้งสองได้สั่งสอน และประกาศแก่คนทั้งหลายถึงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยทางพระเยซู
4:3 เขาจึงจับท่านทั้งสองจำไว้ในคุกจนวันรุ่งขึ้น เพราะว่าเย็นแล้ว
4:4 แต่คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ ซึ่งนับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน
4:5 ต่อมาครั้นรุ่งขึ้นพวกผู้ครอบครองกับพวกผู้ใหญ่และพวกธรรมาจารย์
4:6 ทั้งอันนาสมหาปุโรหิต และคายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์ กับคนอื่น ๆ ที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตนั้นด้วย ได้ประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม
4:7 เมื่อเขาให้เปโตรและยอห์นยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้วจึงถามว่า “ท่านทั้งสองได้ทำการนี้โดยฤทธิ์อำนาจหรือในนามของผู้ใด”
4:8 ขณะนั้นเปโตรประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวแก่เขาว่า “ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลายของอิสราเอล
4:9 ถ้าท่านทั้งหลายจะถามพวกเราในวันนี้ถึงการดีซึ่งได้ทำแก่คนป่วยนี้ว่า เขาหายเป็นปกติด้วยเหตุอันใดแล้ว
4:10 ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ ซึ่งท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน และซึ่งพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คืนพระชนม์ โดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้ได้หายโรคเป็นปกติแล้วจึงยืนอยู่ต่อหน้าท่าน
4:11 พระองค์เป็น ‘ศิลา’ ที่ท่านทั้งหลายผู้เป็น ‘ช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว’
4:12 ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
4:13 เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนมีความรู้น้อยก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู
4:14 เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดขึ้นได้
4:15 แต่เมื่อเขาสั่งให้เปโตรและยอห์นออกไปจากที่ประชุมสภาแล้ว เขาจึงปรึกษากัน
4:16 ว่า “เราจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะการที่เขาได้กระทำการอัศจรรย์อันเด่นชัด ก็ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเราปฏิเสธไม่ได้
4:17 แต่ให้เราขู่เขาอย่างแข็งแรงห้ามไม่ให้พูดอ้างชื่อนั้นกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้เลื่องลือแพร่หลายไปในหมู่คนทั้งปวง”
4:18 เขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา แล้วห้ามปรามเด็ดขาดไม่ให้พูดหรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีกเลย
4:19 ฝ่ายเปโตรและยอห์นตอบเขาว่า “การที่จะฟังท่านมากกว่าฟังพระเจ้าจะเป็นการถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า หรือ ขอท่านทั้งหลายพิจารณาดูเถิด
4:20 ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่เห็นและได้ยินนั้นก็ไม่ได้”
4:21 เมื่อเขาขู่สำทับท่านทั้งสองนั้นอีกแล้วก็ปล่อยไป ไม่เห็นมีเหตุที่จะทำโทษท่านอย่างไรได้เพราะกลัวคนเหล่านั้น เหตุว่าคนทั้งหลายได้สรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น
4:22 ด้วยว่าคนที่หายโรคโดยการอัศจรรย์นั้น มีอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว
4:23 เมื่อเขาปล่อยท่านทั้งสองแล้ว ท่านจึงไปหาพวกของท่าน เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ได้ว่าแก่ท่าน

 

การต่อต้านการงานของพระเจ้าโดยคนของพระเจ้าที่ไม่ยอมตอบสนอง

 

  • (1-9) เปโตรและยอห์นถูกจับกุมโดยฟาริสี สะดูดี และมหาปุโรหิต ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้เห็นหมายสำคัญที่เปโตรและยอห์นทำกับตา และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่ามีการอัศจรรย์ การรักษาโรค เกิดขึ้นจริง , ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าพระเจ้าทำงานผ่านเปโตรและยอห์นจริงๆ … แม้มีการสอบสวนมากมาย แต่เปโตรและยอห์นยังคงยืนยันชัดเจนว่า เขาทำการนั้นๆ โดยนามพระเยซู เขากล้าประกาศว่า “นี่เป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า”

 

  • (10-12) พระเยซูเป็นศิลามุมเอก เป็นนามเดียวที่พาสู่ความรอด แต่พวกฟาริสี สะดูดีกลับละทิ้งพระองค์ ไม่เห็นคุณค่า สุดท้ายแล้วเมื่อมีผู้คนเห็นคุณค่าพระเยซูและได้รับสิ่งล้ำค่านั้น พวกฟาริสีก็คิดจะขัดขวางด้วยความไม่เห็นคุณค่าของเขาเอง

 

  •  (13) เปโตรและยอห์น ไร้ซึ่งการศึกษาแต่สามารถทำอัศจรรย์ของพระเจ้าได้ นั่นเป็นบทพิสูจน์อยู่แล้วว่า… พระเจ้าไม่ได้เลือกคนที่ความสามารถ การศึกษา หรือยศศักดิ์ใดๆ เลย จึงไม่แปลกที่พระเจ้าจะทำงานของพระองค์ผ่านคนเล็กน้อยได้  เพียงแค่เขาดำเนินชีวิตอยู่ในพระเยซูอย่างกล้าหาญเท่านั้นเป็นพอ

 

  •  (14-18) ฟาริสีและสะดูดีเห็นการอัศจรรย์กับตา  แทนที่จะชื่นชมยินดีในงานพระเจ้า แต่พวกเขากลับมานั่งคิดหาวิธีว่าจะจัดการเปโตรกับยอห์น ผู้ที่ตอบสนองพระเจ้าอย่างไรดี ที่จะไม่ให้เขาทำแบบนี้อีก ไม่ให้ประกาศนามพระเจ้าอีก ไม่ให้ตอบสนองพระเจ้าอีก

 

  •  (19-20) แต่เปโตรและยอห์นก็ยังคงยืนยันว่า จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังคนเหล่านี้

 

  • (21-22) ฟาริสีและสะดูดีต้องยอมปล่อยเปโตรและยอห์นไป เพราะว่าไม่มีเหตุใดเอาผิดเขา (นอกจากความอิจฉาริษยาของตนเอง) แท้จริงไม่มีผู้ใดเอาผิดผู้ที่ตอบสนองพระเจ้าได้***



ข้อคิดที่ได้รับ

 

1.    ในสถานการณ์ การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำ ผู้คนต่างสรรเสริญเยินยอพระเจ้าและมีความชื่นชมยินดี แต่ผู้มีอำนาจกลับพยายามคิดจัดการไม่ให้คนที่พระเจ้าใช้ได้ทำการณ์ของพระเจ้าต่อไปได้ เพราะความอิจฉาริษยาตามอย่างของโลก

 

2.    พระคัมภีร์ระบุชัดเจน ให้เป็นพยานถึงพระเยซู สาวกรุ่นแรกประกาศนามพระเยซูชัดเจน ไม่มีการหลบซ่อน หลบเลี่ยง แต่ฟาริสีเท่านั้นที่สั่ง ห้ามพูด ห้ามประกาศนามพระเยซู แม้จะเห็นว่าอัศจรรย์นั้นมาจากพระเจ้าจริง แม้จะหาผิดในผู้ที่ตอบสนองพระเจ้าไม่ได้ก็ตาม ดังนั้นเมื่อพระเจ้าใช้ให้เราทำสิ่งใดๆ จงตอบสนอง ไม่ใช่หยุด เพราะการหยุดนั้นมีแต่บรรดาฟาริสี สะดูดี เท่านั้นที่ทำ…

***ผู้ใดก็ตามที่ตอบสนองพระเจ้าย่อมเป็นสาวกแท้ แต่ผู้ที่ไม่ก้าวตาม ไม่กล้าก้าว ไม่คิดจะก้าว และแถมยังห้ามบังคับ และ/หรือ ห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำ ทั้งที่หาเหตุผิดไม่ได้ด้วยซ้ำ จึงเข้าข่ายเดียวกับฟาริสีและสะดูสี

 

3.    อย่าให้ใครมาหยุดยั้งเราในการตอบสนองการทำงานของพระเจ้าในชีวิตเรา เพราะจำเป็นที่ตัวเราเองจะต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์

 

4.    ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครสามารถเอาผิดผู้ที่เดินตามพระเจ้าได้ เพราะเขาเองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทำกับตา และรู้อยู่เต็มอกว่าเหตุการณ์นั้น ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำได้ แม้คนที่ต่อต้านก็ยังต้องอัศจรรย์ใจในสิ่งที่พระเจ้าทำในชีวิตของเราเอง

 

indexๅ

 

240814